Bitcoin Cash คืออะไร? และ Hard fork ทำงานอย่างไร?

ตอนนี้ในมุมมองของเงิน Crypto Currency เริ่มมีกระแสความนิยมเพิ่มขึ้น เรียกได้ว่ายุคใหม่แห่งเงินดิจิตอลก็ใกล้เข้ามาแล้ว และในวันนี้จะพานักลงทุนทุกคนมารู้จักกับเหรียญ Crypto Currency ที่มีชื่อว่า Bitcoin Cash ที่ได้มีการ Hard fork แยกออกมาจาก Bitcoin นั่นเอง ไปอ่านบทความกันได้เลย

Bitcoin Cash คืออะไร?

Bitcoin Cash คือเหรียญที่แยกตัวออกมาจากบิตคอยน์โดยมุ่งหวังที่จะเพิ่มปริมาณความจุของธุรกรรมให้แก่เครือข่ายเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกรรมในแต่ละวัน เนื่องจากบิตคอยน์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และราคาของมันไม่เพียงแค่พุ่งสูงขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนที่สูงมากด้วย ทำให้เป็นสินทรัพย์มากกว่าที่จะเป็นทางเลือกของสกุลเงินดั้งเดิม บล็อกเชนบิตคอยน์ล้มเหลวในการปรับขนาดตามสัดส่วนของจำนวนการทำธุรกรรมที่เติบโตมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความล่าช้าของกระบวนการและค่าธรรมเนียมที่สูง

Bitcoin Cash เป็นทั้งสกุลเงินดิจิทัลและเครือข่ายบล็อกเชนแบบกระจายอำนาจที่ทำธุรกรรม Bitcoin Cash เรียกเป็นสัญลักษณ์ว่า BCH ในฐานะที่เป็นส่วนแยกของ Bitcoin หรือ BTC Bitcoin Cash มีความคล้ายคลึงกับสกุลเงินดิจิทัลดั้งเดิมมาก ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือจำนวนข้อมูลธุรกรรมที่แต่ละบล็อกของแต่ละเครือข่ายสามารถจัดเก็บได้

ตัวชี้วัดสำคัญ

ชื่อย่อBCH
ชื่อเต็มBitcoin Cash
ประเภท/โปรโตคอลBCH
อุปทานทั้งหมด21,000,000 BCH
อุปทานหมุนเวียนในปัจจุบันBCH18.99M
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด$5.39B
วันที่สร้าง1 สิงหาคม ปี ค.ศ.2017
สามารถขุดได้หรือไม่ได้

bitcoin-cash-hard-fork

ประวัติของ Bitcoin Cash

Bitcoin Cash (BCH) เมื่อปี ค.ศ. 2016–2017 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคา Bitcoin สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่คนในเครือข่ายไม่สามารถหาข้อตกลงกันว่าจะเพิ่มความเร็วของเครือข่ายการใช้งานได้อย่างไร ทำให้มีนักพัฒนาและนักขุดส่วนหนึ่งต้องการแยกเครือข่ายออกมา เพื่อให้ Bitcoin สามารถใช้ในการชำระเงินได้จริง พวกเขาจึงได้ทำการแยกหรือ Fork Bitcoin cash ออกมาจาก Bitcoin เพื่อพัฒนา Bitcoin Cash ให้เป็นระบบการเงินออนไลน์แบบ Peer-to-Peer หลังจากแยกตัวออกมาแล้ว ได้มีการนำบางส่วนโมเดลเดิมของ Bitcoin ออก เรียกว่า Segwit  มีการปรับปรุงเพิ่มเติมจาก Bitcoin เดิม และได้เพิ่มขนาด Block Chain โดยถูกสร้างขึ้นในวันที่ 1 เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.2017 เวลา 1 ทุ่ม 20 นาที โดยผู้สร้างคนเดียวกับ Bitcoin ที่มีชื่อว่า Satoshi Nakamoto เขียนโดย Akiraz ซึ่งทำให้เกิดบล็อกเชนและสกุลเงินคริปโตตัวใหม่ขึ้นมานามว่า Bitcoin Cash นั่นเอง อุปทานทั้งหมดของ Bitcoin Cash อยู่ที่ 21,000,000 BCH ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับ Bitcoin 

Bitcoin Cash เริ่มต้นด้วยการใช้อัลกอริธึมความยากในการขุดแบบเดียวกันกับ Bitcoin หรือที่รู้จักกันในทางเทคนิคว่า การปรับความยากฉุกเฉิน (EDA) ซึ่งปรับความยากทุก ๆ บล็อกปี 2016 หรือประมาณทุก ๆ สองสัปดาห์

จากนั้น Bitcoin Cash ได้มีการแยกเป็น 2 แบบ โดยเริ่มแยกตัวในวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.2018 โดยแบ่งออกเป็น Bitcoin Cash ABC และ Bitcoin Cash SV (Satoshi Vision) ซึ่ง Bitcoin Cash ในปัจจุบันก็คือ Bitcoin Cash ABC

ปัจจุบัน Bitcoin สามารถตรวจสอบธุรกรรมได้เพียง 7 ธุรกรรมต่อวินาที เนื่องจากขนาดบล็อก (Block size) ถูกจำกัดอยู่ที่ 1 MB ต่อบล็อก ขณะที่ Bitcoin Cash พัฒนาจากจุดนี้โดยเพิ่มขนาดของบล็อกเป็น 8 MB และได้สูงสุดที่ 32 MB โดย blocks ที่ใหญ่กว่าสามารถจัดที่อยู่ของการธุรกรรมได้มากกว่า และอนุญาตนักขุดในการประมวลผลและตรวจสอบธุรกรรมได้มากขึ้น การประเมินผลเปรียบเทียบแสดงให้เห็นว่า ในขณะที่บล็อกเชนบิตคอยน์จัดการได้ 1,000 ถึง 1,500 ธุรกรรมต่อ block แต่ Bitcoin cash สามารถจัดการได้มากถึง 25,000 ธุรกรรมต่อ block และยังทำให้ BCH มีความใกล้เคียงกับวิสัยทัศน์ของบิตคอยน์ดั้งเดิมมากขึ้น

Hard fork คืออะไร? ทำงานอย่างไร?

การ Hard fork จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อโค้ดเปลี่ยนไปจนไม่รองรับบล็อกในเวอร์ชันเก่า ๆ อีกแล้ว

คือจะเป็นการเปลี่ยนกฏเกณฑ์และเป็นการแก้ไขชุดคำสั่งให้มีการแตกต่างไปจากเดิม ก็เหมือนการเป็นการอัปเดตระบบให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แก้ไขจุดบกพร่องที่เกิดขึ้นในระบบ 

สาเหตุหลักที่ต้องมีการ Hard Fork อัปเดตบล็อกเชน ดังนี้

  • เพื่ออัปเกรดความปลอดภัยให้ดีขึ้นกว่าเวอร์ชันเก่า
  • เพิ่มฟังก์ชั่นใหม่
  • เพื่อสามารถตรวจสอบธุรกรรมเก่าได้

และนอกจากนั้นแล้วในระบบ Blockchain ที่มีการกำหนดเงื่อนไขขึ้นมาเป็นรูปแบบใหม่ก็ยังสามารถเข้ากันกับระบบเก่าได้อย่างไม่มีปัญหา มูลค่าเงินที่เคยมีจากระบบเดิมก็จะยังคงอยู่ แต่ถ้าหากมีความขัดแย้งระหว่างผู้ใช้น้อยก็จะยังคงใช้เส้นข้อมูลเดิม (Soft fork) แต่ถ้าความขัดแย้งมีมากจนแบ่งออกเป็นสองฝ่ายก็จะมีการแตกแขนงเส้นข้อมูลใหม่ (Hard fork)

ทุกครั้งที่มีการ hard fork มักจะทำให้เกิดเหรียญใหม่หรือซอฟแวร์ใหม่ ๆ ขึ้นมาเสมอ อย่างเช่นตัว Bitcoin Cash เองนี่แหละ โดยตัว Bitcoin Cash เป็นการ Fork แยกออกมาจาก Bitcoin อีกทีหนึ่ง ซึ่งจุดประสงค์ของการ Hardfork ในแต่ละครั้งนั้นก็มีความแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การแก้ระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจมีผลกระทบไปถึงราคาและความเสถียรของระบบของเหรียญในช่วงเวลานั้นด้วย

หลักการทำงานของ Hard fork

ก็คือการเข้าไปแก้ SOURCE CODE ของระบบเก่าที่มีอยู่แล้ว ในส่วนของข้อกำหนดความเข้ากันได้ เพื่อให้เกิดระบบใหม่แยกออกมา จากนั้นก็ตั้งชื่อคอยน์ แล้วเปิดรันระบบ กลายเป็นคอยน์ตัวใหม่

ข้อดี ข้อเสียของการ Hard Fork

ข้อดี

1. จะได้รับเหรียญสมนาคุณ เช่น หากมีการทำ ETH Hard Fork เดิมเรามี 1 ETH อยู่ในกระเป๋าเงิน หลังจาก ETH Hard Fork เราก็จะได้รับ 0.1 ETH เป็นของสมนาคุณ เหมือนได้โทเคนที่นำไปเทรดต่อ หรือ จะถือไว้เก็งกำไรได้เลยแบบฟรี ๆ

2. เป็นการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลใหม่เข้าสู่ระบบ เพราะเหรียญสมนาคุณที่ได้รับเป็นโทเคนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่

3. ช่วยแก้ปัญหาการเชื่อมต่อในระบบ ที่ทำให้การทำธุรกรรมสำเร็จได้โดยใช้เวลาน้อยลง

ข้อเสีย

1. เหรียญที่เกิดใหม่จะเข้ามากระทบตลาดเดิมจึงอาจทำให้เกิดความผันผวนของราคาเป็นอย่างมาก

ตัวอย่างการ Hard Fork ที่ผ่านมา

Ethereum ที่เคยโดนแฮกระบบไปช่วงเริ่มต้นได้ไม่นาน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นทีมงานได้แก้ไขโดยการทำ Hard Fork โดยการพัฒนา Source Code ใหม่ ปรับปรุงช่องโหว่ให้ดีขึ้น และเอาข้อมูลการเงินเดิมที่เคยมีมาใช้งานต่อ สุดท้ายแล้วผลลัพท์จากการ Hard fork ครั้งนั้นก็คือ ผู้ใช้งานก็ยังคงมีเงินเหลือเหมือนเดิม แต่ระบบข้างหลังเป็นของใหม่แล้ว และทำให้เกิดเหรียญใหม่ขึ้นเป็นเหรียญแรกของ Ethereum ได้แก่

Ethereum (ETH) : คือ สกุลเงิน Ethereum ที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้ว

Ethereum Classic (ETC) : คือ สกุลเงิน Ethereum แบบดั้งเดิม สำหรับคนที่ยังหลงไหล Ethereum แบบเดิม

หลังจากการอัพเดทเสร็จสมบูรณ์ ราคาของ ETH ก็ได้ปรับสูงขึ้นจากแถว 85,000 บาทเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2021 ไปทำระดับสูงสุดที่ 108,500 บาทเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2021 ที่ผ่านมา เรียกว่าปรับขึ้นถึง 27% ภายในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์กว่า ๆ เท่านั้น โดยผู้พัฒนาเรียกการอัพเดทครั้งนี้ว่า London Hard Fork

bitcoin-cash-hard-fork

เรื่องราวการ Hard Fork : Hard Forks vs. Soft Forks

Hard Forks vs. Soft Forks

Hard ForksSoft Forks
Expanding the rules (eg, 1MB -> 2MB)Tightening the rules (eg, 1MB -> 0.5MB)
Not backwards compatibleBackwards compatible
Old nodes don’t accept new blocksOld nodes accept new blocks

Hard Fork คือการสร้างระบบใหม่ที่ไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบเก่าได้ แต่มูลค่าเงินที่เคยมีจากระบบเดิมก็จะยังคงอยู่ แต่ในส่วน Soft Fork นั้นก็จะมีความคล้าย ๆ กับ Hard Fork แต่มีความเบากว่านิดนึงคือ จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เคยใช้งานใน Blockchain เดิม เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เจอในระบบ

  • การ hard fork ครั้งแรกของ Bitcoin

การ hard folk ของบิทคอยน์เริ่มขึ้งจากการเห็นจุดบกพร่องของระบบ ในช่วงแรกที่มีการทำธุรกรรมในระบบไม่มากนัก ระบบของ Bitcoin สามารถทำหน้าที่ได้ค่อนข้างรวดเร็วอย่างไร้ที่ติ แต่เมื่อได้รับความนิยมมากขึ้นการทำงานจึงช้าลงเนื่องด้วยขนาดของบล็อกจำกัดอยู่ที่ 1MB ซึ่งผู้ใช้งานเคยรอนานที่สุดถึง 3 วันในการตรวจสอบการโอนถ่ายบิทคอยน์ และวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหาเหล่านี้คือ การจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น เพื่อการตรวจสอบที่รวดเร็วขึ้น

แต่ก็ทำให้ค่าธรรมเนียมสูงมากจนผิดจุดประสงค์หลักของระบบบิทคอยน์ เหตุนี้จึงเกิดการเสนอ hard fork ขึ้นเพื่อแก้ไขจุดอ่อนนี้ 2 ทางคือ Bitcoin Unlimited และ Segregate witness (Segwit) ซึ่งสุดท้าย Bitcoin cash ที่เป็นเหรียญแรกจากการ hard fork เกิดขึ้นจากการรวมสองข้อเสนอนี้เข้าด้วยกัน โดยแนวคิดคือ การขยายบล็อกออกเป็นขนาด 8 MB

  • การ hard fork ครั้งแรกของ Ethereum

เกิดการแฮกระบบ Etheruem ขึ้นในปี 2016 จนทำให้มีการสูญเสียประมาน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนั้นจึงเกิดการ hard fork ขึ้นเพื่อแก้ไขระบบป้องกันพวกแฮกเกอร์ โดย ตอนนั้นนักพัฒนาหลักมีทางเลือกให้ผู้ใช้งานอยู่สองทางเลือก คือ การรักษาให้เป็นอย่างธรรมชาติของระบบ หมายความว่าประวัติธุรกรรมและ Ledger ต้องไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

หรือ ทำการ hard fork เพื่อทำให้แฮกเกอร์ไม่สามารถเอาเงินไปได้และย้อนการซื้อขายนั้น ๆ กลับ การถกเถียงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนระบบแตกออกเป็นสองเส้นคู่ขนานซึ่งระบบที่กลุ่มนักพัฒนาหลักตกลงที่จะใช้กันเรียกว่า Ethereum ในขณะที่ระบบเก่าตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ว่า Ethereum classic และนี้คือเหรียญจากการ hard fork เหรียญแรกของ Ethereum

ทำไม BCH ABC จะหายไปหลังจาก Bitcoin Cash hard fork?

โดยมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งภายในเครือข่ายเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา จึงเกิดแนวคิดที่จะแยกตัวออกมาเป็นอีกเครือข่าย ระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุน BCHABC และ BCHN เนื่องจากว่า BCHABC ต้องการที่จะติดตั้งระบบ Infrastructure Funding Plan หรือระบบที่จะมีการจ่าย ภาษีการขุด 8% จากที่นักขุดขุดได้ไปให้กับนักพัฒนาแบบฟรี ๆ และเชื่อว่าการหักรายได้ของนักขุดในรูปแบบนี้ไม่ถือเป็นเรื่องดีในอนาคต นอกจากนี้ยังมีความกลัวเกี่ยวกับความเป็น centralization ของเครือข่ายที่เพิ่มมากขึ้นจากการพัฒนาเหรียญ BCH ด้วยกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เครือข่ายใหม่ที่มีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า Bitcoin Cash ABC หรือ BCHA ดูเหมือนจะมีเสียงสนับสนุนที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ จึงอาจทำให้ BCHA ไม่ได้รับการยอมรับจากเหล่า Exchange และหายไปในที่สุดนั่นเอง

Bitcoin Cash แตกต่างจาก Bitcoin อย่างไร?

ตารางเปรียบเทียบ

Bitcoin Cash (BCH)Bitcoin (BTC)
ปีที่เปิดตัว2017ปีที่เปิดตัว2009
ผู้สร้างกลุ่มนักพัฒนา Bitcoin หนึ่งในนั้นคือ Calin Culiaunผู้สร้างSatoshi Nakamoto (นามแฝง)
วัตถุประสงค์ชำระเงินวัตถุประสงค์ชำระเงิน
Trading Volume$4,210,091,959 USD.Trading Volume$24,577,884,804 USD.
ลักษณะเกิดจากการแยกออกจาก Bitcoin หรือ Hard Fork

ใช้เทคโนโลยีส่วนใหญ่เหมือนกับ Bitcoin

ขนาดของบล็อกจะเพิ่มขึ้นเป็น 32MB (จากเดิมคือ 1MB)

ปัจจุบันค่าธรรมเนียมและระยะเวลาการประมวลผลธุรกรรมต่าง ๆ เร็วกว่า BTC
ลักษณะ เป็นสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของโลก

มีมูลค่าตลาดสูงสุด

ซัพพลายมีจำนวนจำกัดเพียง 21 ล้านเหรียญ

ใช้เครือข่าย blockchain แบบเปิดซึ่งไม่มีใครสามารถควบคุมบิทคอยน์ได้

สามารถตรวจสอบข้อมูลธุรกรรมได้

 โอนได้ทั่วโลกด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ

เทรด BCH กับโบรกเกอร์ Mitrade

ตอนนี้นักลงทุนคงเข้าใจและอยากเทรดเหรียญ Bitcoin Cash กันแล้ว และถ้าหากคิดจะทำกำไรจาก Bitcoin Cash ก็มีวิธีการง่าย ๆ คือการซื้อให้ถูกและขายให้แพง ด้วยเครื่องมืออย่าง CFD เป็นหนึ่งในเครื่องมือการซื้อขายที่ยืดหยุ่นที่สุด ที่จะมาช่วยในการขยายขอบเขตการทำกำไรให้กับเทรดเดอร์นั่นเอง

CFD (contract for difference) 

คือ สัญญาการซื้อขายส่วนต่าง ที่สามารถเทรดได้ระหว่างลูกค้าและโบรกเกอร์ เทรดเดอร์อาจเก็งกำไรในการเคลื่อนไหวของราคาได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องอยู่จริง โดยใช้สัญญาทางการเงิน ทำให้นักลงทุนจะไม่ได้เป็นเจ้าของเหรียญคริปโตโดยตรง เทรดเดอร์มักจะซื้อหรือขายจำนวนหน่วย ขึ้นอยู่ว่าราคาของตราสารการเงินดังกล่าวนั้นจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง โดยจะมีให้เทรดเป็น CFD หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน พันธบัตร โลหะมีค่า คริปโต ฯลฯ

การซื้อขายสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดที่เป็นขาขึ้นและขาลง การเทรด CFD เป็นการทำกำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อขาย และใช้ได้ทั้งกลยุทธ์ Long-Short ทำให้เทรดเดอร์ทำกำไรจากสินทรัพย์ได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและคล่องตัวในเหตุการณ์ที่ตลาดการเงินมีความผันผวนมากและมีสภาพคล่องสูง

และที่นักลงทุนจะขาดสิ่งนี้ไปไม่ได้เลยคือ การเลือกเทรดกับโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ Mitrade เป็นเว็บเทรด Bitcoin ด้วย CFD จากประเทศออสเตรเลีย ก่อตั้งในปี 2011 และเริ่มให้บริการในไทยเมื่อปี 2019 Mitrade อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงาน ASIC, FSC และ CIMA อีกทั้งยังมีมาตรการแยกเงินทุนของลูกค้า ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนมากมาย กว่า 1,100,000+ ของผู้ใช้ทั่วโลก การันตีโดยรางวัลต่าง ๆ เช่น แพลตฟอร์มการซื้อขายเทคโนโลยีการเงินแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดจาก Global Brands Magazine เป็นต้น

ทำไมต้อง Mitrade ?

  • เงื่อนไขการซื้อขายขั้นต่ำ
  • กำกับดูแลโดยหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง
  • แพลตฟอร์มการซื้อขายที่ใช้งานง่าย
  • การสนับสนุนออนไลน์ระดับสูง
  • ต้นทุนการทำธุรกรรมที่แข่งขันได้
  • การป้องกันยอดคงเหลือติดลบ
bitcoin-cash-hard-fork

**คำเตือน การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

เนื้อหาในบทความเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความ เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุนเท่านั้น ผู้อ่านควรศึกษาปัจจัยประกอบจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งก่อนการตัดสินใจ และใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลในการพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ลงทุนที่เหมาะสมแก่ท่าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

รับฟรีทันที! เงินเสมือนจริง $50,000 เพื่อฝึกฝนการเทรดกับ Mitrade!