indicator forex ที่แม่นยําที่สุด ในตลาด forex

หากว่าท่านเป็นมือใหม่ และต้องการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาดการซื้อขายของ Forex ท่านต้องรู้จักกับ indicator ต่าง ๆในการทำกำไรจากการซื้อขาย Forex เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ออสซิลเลเตอร์ Bollinger Bands เป็นต้น เพราะว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดของคุณให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น บทความนี้จะช่วยให้ท่านได้รู้จักกับ indicator ต่าง ๆ ที่แม่นยําและนำไปปรับใช้กับพอร์ตการเทรดของคุณได้

indicator คืออะไร

ตัวชี้วัด (Indicators) เป็นสิ่งที่เหล่าเทรดเดอร์ใช้งานกันเป็นประจำเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาดการซื้อขาย Forex ที่นอกเหนือจากการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์รูปแบบอื่น ๆ โดยตัวชี้วัดสามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการซื้อขายและอาจใช้เป็นพื้นฐานสำหรับการกำหนดกลยุทธ์การซื้อขาย Forex ได้ด้วย ผู้ค้าอาจใช้ตัวชี้วัดเพื่อช่วยบอกแนวโน้มของตลาดในอนาคต

โดยมีหลักการทำงานคือการตรวจสอบข้อมูลในอดีต เช่น ราคาสกุลเงิน, ปริมาณ และประสิทธิภาพของตลาด จากนั้นตัวชี้วัดจะพยายามคาดการณ์ว่าตลาดจะมีพฤติกรรมอย่างไรในอนาคตและรูปแบบใดที่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำอีก เมื่อผู้ค้ามีข้อมูลนี้แล้ว พวกเขาก็จะสามารถตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น และอาจทำให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย

ลองมาดูรายการ indicator ที่นักเทรด Forex ใช้กันอย่างแม่นยํา จากตัวอย่างด้านล่างนี้

MOVING AVERAGES

(MA) คืออะไร

(MA) หรือที่เรียกว่า เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดการของการเทรดที่ไม่มีใครไม่รู้จัก มีลักษณะเป็นเส้นที่เคลื่อนไหวตามราคาหุ้น หรือ ดัชนี ซึ่งเป็น Indicator ที่เป็นการนำราคาที่มีความผันผวนของแต่ล่ะวันมาหาค่าเฉลี่ย โดยการใช้ข้อมูลย้อนหลัง ตามช่วงเวลาที่ผู้ใช้งานกำหนด (Period) ซึ่งเป็นเครื่องมือ อินดิเคเตอร์ใช้งานง่าย และนักลงทุนนิยมใช้ โดยจะแสดงเป็นเส้นเรียบ (Smooth) ในกราฟ เพื่อให้ดูง่ายและสะดวกต่อการใช้บอกแนวโน้ม (Trend) ของตลาดที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร เพื่อใช้เป็นแนวทางคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตว่าควรจะไปทางไหน อีกทั้งยังสามารถใช้บอกแนวรับ แนวต้านของตลาดหุ้นหรือค่าเงิน รวมทั้งจุดซื้อ ขายเบื้องต้นได้ด้วย และในปัจจุบัน เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ได้มีการพัฒนาต่อยอดแตกแขนงออกมาหลากหลายประเภท เช่น

Simple Moving Average (SMA)

Exponential Moving Average (EMA)

Weighted Moving Average (WMA)

Double Exponential Moving Average (DEMA)

Triple Exponential Moving Average (TEMA)

เพราะฉะนั้นการใช้ Moving Average จะช่วยลดความสับสนที่จะเกิดขึ้นในการเทรดได้นั่นเอง สามารถเลือกกำหนดค่า Moving Average แบบ 20 วัน  50 วัน 100 วัน ได้อีกด้วย

MA ใช้ยังไง?

ใช้ข้อมูลของราคาหุ้นย้อนหลังตามที่ระยะเวลาที่เรากำหนด เช่น ถ้าเราสนใจค่าของ Moving Average ระยะเวลาย้อนหลัง 5 วัน เราจะใช้ราคาหุ้น 5 วันย้อนหลังนับจากวันปัจจุบัน มาคำนวณด้วยสูตรของค่าเฉลี่ยประเภทที่เราสนใจ 

Moving Average ทุกประเภทจะใช้หลักการเดียวกัน คือ การหาค่าเฉลี่ยของราคา แล้วนำมาวาดเป็นกราฟเส้น แต่สิ่งที่แตกต่างกันของ Moving Average แต่ละประเภ คือ การให้น้ำหนักของข้อมูลแต่ละตัวที่แตกต่างกันก่อนนำมาคำนวณค่าเฉลี่ย

วิธีอ่านสัญญาณซื้อ สัญญาณขาย จากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

สัญญาณซื้อ (Buy Signal) เกิดขึ้นเมื่อ ราคาหุ้น หรือ ดัชนี อยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

สัญญาณขาย (Sell Signal) เกิดขึ้นเมื่อ ราคาหุ้น หรือ ดัชนี อยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

MOVING AVERAGES

สำหรับประโยชน์ของ MA นั้นส่วนใหญ่แล้วจะใช้เพื่อดูพฤติกรรมของตลาดที่ผ่านมาในอดีตว่าเป็นอย่างไร และยังใช้เพื่อใช้เป็นแนวทางในการคาดการณ์ทิศทางของตลาดในอนาคตว่าจะไปในทิศทางไหน อีกทั้งยังสามารถเพื่อใช้บอกแนวรับและแนวต้านของตลาด หรือชี้จุดซื้อและขายเบื้องต้นของตลาดได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ตัวชี้วัดนี้ก็มีข้อควรระวังอยู่บ้าง เนื่องจากปกติแล้วหากตลาดกำลังอยู่ในสภาวะที่ราคาไม่มีทิศทางที่แน่นอน หรือ เคลื่อนที่ในกรอบแคบ ๆ การใช้ MA กลับกลายเป็นมีข้อเสียมากกว่า เนื่องจากบ่อยครั้งที่สัญญาณที่ได้จะกลายเป็นสัญญาณหลอกแทน

OSCILLATORS

ออสซิลเลเตอร์ (OSCILLATORS) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ได้รับความนิยมและถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะว่ามันเป็นตัวชี้วัดแบบ​ลีดดิ้ง ที่สามารถบอกสัญญาณการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ที่เป็นไปได้ โดยการสร้างแถบสูงและต่ำระหว่างค่าทั้งสองค่า แล้วสร้างตัวบ่งชี้แนวโน้มการผันผวนภายในขอบเขตเหล่านี้ นักเทรดสามารถใช้ตัวบ่งชี้แนวโน้มเพื่อค้นหาเงื่อนไขในกรณีที่มีการซื้อเกินหรือขายเกินในระยะสั้น โดยเมื่อค่าของออสซิลเลเตอร์เข้าใกล้ค่าสูงสุด นั้นหมายความว่าสินทรัพย์กำลังมีการซื้อที่มากเกินไป และเมื่อเข้าใกล้ค่าต่ำสุด จะแปลว่าสินทรัพย์นั้นถูกขายออกมากเกินไป

ด้านล่างนี้เป็นชุดของออสซิลเลเตอร์ที่คุณสามารถพบได้ใน MT4/MT5:

OSCILLATORS

STOCHASTIC OSCILLATOR

Stochastic เป็นตัวชี้วัดโมเมนตัมที่นิยมใช้กันอย่างมาก โดยถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 1950 สำหรับหลักการทำงานของมันก็คือการบอกว่าราคามีการเปลี่ยนแปลงคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งความอ่อนไหวของ Stochastic จะเป็นตัวแสดงความอ่อนไหวของตลาดในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่เรากำหนด เช่น ถ้าเราตั้งค่า Stochastic 8 นั่นก็คือ เวลาที่เรากำหนดคือกรอบ 8 แท่งของแท่งเทียน หรือแท่งราคา ซึ่งผลของการคำนวณจะออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับจำนวนแท่งที่ใช้ในการคำนวณทั้งหมด

STOCHASTIC OSCILLATOR

สโตแคสติก ออสซิลเลเตอร์จะถูกผูกไว้กับช่วงเวลา ซึ่งหมายความว่าจะมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 เสมอ ซึ่งนี่ทำให้มันเป็นตัวบ่งชี้ที่มีประโยชน์ในการระบุ overbought Oversold โดยหากอ่านค่าได้มากกว่า 80 ถือว่าอยู่ในช่วง overbought ซื้อเกิน และการอ่านที่ต่ำกว่า 20 ถือว่าเป็น Oversold อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกถึงการกลับตัวที่จะเกิดขึ้นเสมอไป แนวโน้มที่แข็งแกร่งสามารถรักษาสภาพการซื้อเกินหรือขายเกินได้เป็นระยะเวลานาน ในทางกลับกัน นักเทรดควรมองหาการเปลี่ยนแปลงใน สโตแคสติก ออสซิลเลเตอร์ เพื่อหาการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มในอนาคต

Bollinger bands(BB)

(BB) คืออะไร

(BB) เป็น 1  ในเครื่องมือ Technical analysis ที่โด่งดัง ถูกคิดค้นโดยนาย John Bollinger หลายคนจะรู้จักว่าเป็นเครื่องมือที่ไว้วัดความผันผวนของราคาได้รับความนิยมไปอย่างแพร่หลายในการเทรด Forex เนื่องจากประโยชน์ที่หลากหลายและสามารถพลิกแพลงเทคนิคให้แปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็น Indicator ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบการเทรด และในหลากหลายสินค้าการเทรด ไม่ว่าจะใช้ดูหุ้น, ทองคำ, Index , น้ำมัน และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทำให้ Bollinger Bands เป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดเดอร์ทั่วโลก

ส่วนประกอบของ Indicator Bollinger Bands

Upper Bands  : เส้นขอบบน

Middle Bands: เส้นตรงกลาง

Lower Bands : เส้นขอบล่าง

วิธีอ่านสัญญาณ

โดยในช่วงที่ความผันผวนมาก กรอบ Bands จะกว้างขึ้น 

ในช่วงที่ความผันผวนน้อย กรอบ Bands จะแคบลง

BB ใช้ยังไง?

1. ใช้หาแนวโน้มของกราฟราคาได้ว่าจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด

ลักษณะแนวโน้มขาขึ้น กราฟราคาจะวิ่งอยู่ใน เส้นขอบบนและเส้นตรง

ลักษณะแนวโน้มขาลง กราฟราคาจะวิ่งอยู่ใน เส้นขอบล่างและเส้นตรงกลาง

2. ใช้วัดความผันผวนของคู่เงิน ว่าคู่เงินมีความผันผวนมากหรือน้อยขนาดไหน

ถ้าคู่เงินนั้นมีความผันผวนมาก Indicator Bollinger Bands ทั้ง 3 เส้น จะถ่างออกห่างกันมาก

ถ้าคู่เงินนั้นมีความผันผวนน้อย Indicator Bollinger Bands ทั้ง 3 เส้น จะอยู่ใกล้กัน

3. ใช้ดู Overbought Oversold เพื่อหาว่าตอนนี้ราคาแพงเกินไป หรือถูกเกินไปไหม

โซน Overbought หรือ โซนที่มีปริมาณการซื้อมากเกินไป กราฟราคาจะขึ้นไป ทะลุเส้น Upper Band

โซน Oversold หรือ โซนที่มีปริมาณการขายมากเกินไป กราฟราคาจะลงมา ทะลุเส้น Lower Band

THE RELATIVE STRENGTH INDEX (RSI)

RSI คืออะไร 

(RSI) เป็นอีกอินดิเคเตอร์หนึ่งที่นักลงทุนทั่วโลกนิยมใช้งานกัน ที่แม่นยำที่สุดตัวหนึ่ง จัดอยู่ในหมวด Indicator เป็นเครื่องมือชี้วัดทางเทคนิคประเภท Momentum เป็นอัตราส่วนของราคาปิดที่สูงขึ้นและต่ำลง หลัก ๆ ไว้วัดความแข็งแกร่งของราคา RSI นั้นได้รับการพัฒนา โดน J. Welles Wilder ในปี 1978 และยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าราคามีภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือภาวะการขายมากเกินไป (Oversold) โดยมีค่าตั้งแต่ 0-100 Relative Strength Index (RSI) เป็นที่นิยมในทุกตลาด รวมถึงตลาดของสกุลเงินดิจิทัลด้วย ซึ่งเหมาะสำหรับการเริ่มต้นเรียนรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค

วิธีอ่านสัญญาณ RSI

เมื่อเส้น RSI ตัดผ่าน 70 คือตลาดมีภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought)

เมื่อเส้น RSI ตัดผ่าน 30 คือตลาดมีภาวะการขายมากเกินไป (Oversold)

หากเส้นอยู่ในระดับ 30-70 ถือว่าปกติ (Neutral)

ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought)

คือ เมื่อราคาพุ่งสูงมาก ๆ จนคนไม่กล้าซื้อต่อ เพราะเกรงว่าหากซื้อในราคา ณ ตอนนั้น อาจจะทำให้ขายต่อไม่ออกนั่นเอง ซึ่งภาวะซื้อมากเกินไป สามารถบ่งชี้ได้ว่าราคาอาจลดลงแม้จะอยู่ในสภาวะขาขึ้นก็ตาม

ภาวะขายมากเกินไป (Oversold)

คือ เมื่อราคาต่ำลงมาก ๆ หรือเกิดการขายจำนวนมากขึ้น จนเริ่มมีราคาถูก ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้ออยากซื้อมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าราคาอาจจะฟื้นตัวกลับมาสูงขึ้นได้แม้ว่าในตอนนั้นราคาจะมีสภาวะขาลง

RSI ใช้ยังไง?

วิธีใช้งานอย่างง่ายดาย น้อยกว่า 30 คือ Oversold ให้ (ซื้อ)  มากกว่า 70 คือ Overbought ให้ (ขาย)

THE RELATIVE STRENGTH INDEX (RSI)

Moving Average Convergence Divergence(MACD)

(MACD) คืออะไร 

เป็น Indicator forex ที่แม่นยำที่สุดและเป็นที่นิยมใช้กันมาก ๆ อีกตัว ซึ่งจุดเด่นของตัวนี้ คือการหาการเปลี่ยนแปลงของ Momentum จากการเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของเส้น MA หรือ Moving Average 2 เส้น โดยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ที่เป็นผลต่างระหว่าง EMA (12) วัน  EMA (26) วัน วิ่งตัดกันกับ Signal Line EMA (9) วัน

ส่วนประกอบของ Indicator MACD จะถูกสร้างขึ้นด้วยส่วนประกอบสำคัญ 3 อย่างดังนี้

เส้น Signal : จะแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของ Momentum ราคา และชี้ให้เห็นสัญญาณการซื้อขาย ถูกสร้างโดยเส้น 9 period MA ของ MACD

เส้น MACD : จะเป็นเส้นที่คำนวณจากช่องว่างของเส้นราคา Moving average เส้นนี้เกิดจากการหักตัวของเส้นจาก 12 period MA เป็น 26 period MA

เส้น Histogram : เป็นเส้นที่คำนวณจากการตัดกันของเส้น Signal กับเส้น MACD

MACD ใช้ยังไง?

ใช้บอกแนวโน้มของราคาหุ้น (Trend) และสัญญาณเตือน เท่านั้น

วิธีอ่านสัญญาณการเข้าเทรดทำกำไร

ดูจากเส้น MACD เมื่อเส้น MACD เคลื่อนตัวขึ้นเหนือเส้น Signal ให้เข้าเปิดออเดอร์ Sell 

ถ้าหากเส้น MACD เคลื่อนตัวลงทะลุผ่านเส้น Signal ลงมา ให้เข้าเปิดออเดอร์ Buy

ทั้งนี้ต้องทำการศึกษาและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ใช้ให้ถูกต้องตามจุดเด่นของแต่ละตัว และใช้ให้ตรงกับสินทรัพย์ที่เราเลือกลงทุน และเพื่อสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการลงทุนได้ เราก็จะใช้ Indicator ในการสร้างกำไรจากการเทรดได้ โดยเฉพาะ Indicator ที่เราได้กล่าวไปทั้งหมด ถือว่าเป็นยอดนิยมของไทยเรา ที่มีการใช้งานหลากหลาย มีประสิทธิภาพ และจะประสบความสำเร็จการเทรดในตลาด forex ได้ไม่ผิดหวังแน่นอน

BOLLINGER BANDS

Bollinger Bands เป็นตัวชี้วัดประเภทหนึ่ง ที่พัฒนาโดย John Bollinger Bollinger Bands ซึ่งนักเทรดมักจะใช้ตัวชี้วัดนี้บอกถึงความผันผวนของราคาในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง จะแสดงผลลัพธ์เป็นกราฟของช่วงที่มีความผันผวนสูงสุดหรือต่ำสุด เพราะหลักการของมันคือ การวัดความผันผวนของกราฟ โดยใช้ใช้พารามิเตอร์ 2 ตัว คือค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (หรือเส้น Moving Average) กับระยะเวลา ทำให้ทราบว่า ช่วงนี้ราคาเหวี่ยงออกจากเส้น Moving Average เท่าไหร่

BOLLINGER BANDS

นอกจากวิธีนี้แล้ว ยังมีการใช้ Bollinger Band เป็นสัญญาณของ Overbought Oversold โดยการถ้ามันแตะหรือต่ำกว่าขอบด้านล่าง (Lower Band ) นั่นคือสัญญาณ Oversold ให้ส่งคำสั่ง buy ขณะที่ฝั่งตรงข้าม คือ Overbought เมื่อมันอยู่สูงกว่า Upper Band นั่นเอง

FIBONACCI RETRACEMENT LEVELS

Fibonacci retracement คือเส้นในแนวนอนที่ระบุตำแหน่งแนวรับและแนวต้านที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้น โดยยึดตามตัวเลข FIBONACCI ในแต่ละระดับมีความเกี่ยวข้องกับเปอร์เซ็นต์การเคลื่อนไหวก่อนหน้าที่ราคาย้อนกลับ ซึ่งระดับการย้อนกลับของ Fibonacci คือ 23.6%, 38.2%, 61.8% และ 78.6% เป็นต้น ตัวชี้วัดนี้มีสามารถลากไปมาระหว่างจุดราคาที่สำคัญสองจุด เช่น สูงและต่ำ จากนั้นตัวชี้วัดจะสร้างระดับระหว่างจุดสองจุดนั้น

ตัวอย่างเช่น ราคาของสกุลเงินเพิ่มขึ้น $10 แล้วลดลง $2.36 ในกรณีนี้แสดงว่ามันได้ถอยกลับ 23.6% ซึ่งก็คือเป็นตัวเลข FIBONACCI นั่นเอง

FIBONACCI RETRACEMENT LEVELS

ทั้งนี้ส่วนที่สำคัญที่สุดของตัวชี้วัด Fibonacci คืออัตราส่วนทองคำที่ 61.8% โดยในตลาด Forex นักเทรดใช้อัตราส่วนนี้เพื่อระบุการ กลับตัวของตลาดและพื้นที่การทำกำไร หากราคาเคลื่อนไหวพร้อมกับแนวโน้ม แล้วเคลื่อนตัวไปอยู่ที่ระดับ 61.8% ของ Fibonacci retracement และแสดงสัญญาณการกลับตัว ราคาก็มีแนวโน้มที่จะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางที่กลับกัน

ประโยชน์ของ Indicator Forex

1. ใช้เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้า หรือแนวโน้มหลักว่าเป็นไปในทิศทางใด เพื่อรอจังหวะซื้อขาย หรือปิดออร์เดอร์ที่ดี 

2. สามารถบอกสัญญาณซื้อหรือขายได้ ถ้าเราใช้เครื่องมือ Indicator จะช่วยบอกจุดที่จะต้องเปิดคำสั่งซื้อ ขายได้ตามเงื่อนไขของเครื่องมือที่เราได้ตั้งขึ้น และอื่น ๆ อีกมากมาย

3. ช่วยลดความเสี่ยงในการเทรด เครื่องมือ Indicator ยังสามารถลดความเสี่ยงในการเปิดคำสั่งซื้อขายของเราเองได้ โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ จากกราฟ ในการวิเคราะห์หาทิศทางและแนวโน้มของกราฟราคา

4. เพิ่มความมั่นใจในการเทรด Indicator จะช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือของกราฟหรือช่วยเราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการวิเคราะห์กราฟว่าจะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นหรือขาลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่านักเทรดเดอร์ใช้ Indicator ประเภทไหน

บทสรุป

หากคุณเป็นมือใหม่ที่พึ่งเข้ามาในโลกของ Forex นอกจากจะศึกษาประเภทของตัวชี้วัดแล้ว การเลือกใช้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง และกฏง่าย ๆ ที่ควรจำให้ขึ้นใจก็คือคุณไม่ควรใช้ตัวชี้วัดมากเกินไปในครั้งเดียว และก็ไม่ควรที่จะใช้ตัวชี้เพียงตัวเดียวในการวิเคราะห์ แต่คุณควรใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคควบคู่ไปกับการประเมินการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาหนึ่ง (การเคลื่อนไหวของราคา) ด้วย

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ไม่มีตัวชี้วัด forex ใดที่สมบูรณ์แบบ 100%  คุณควรที่จะตรวจสอบประสิทธิภาพของตัวบ่งชี้และปรับปรุงกลยุทธ์การซื้อขายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของตลาดอยู่เสมอ และแน่นอนว่าการลงทุนทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยง จึงควรลงทุนในจำนวนที่คุณสามารถแบกรับความเสี่ยงได้เท่านั้น

**คำเตือน การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

เนื้อหาในบทความเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความ เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุนเท่านั้น ผู้อ่านควรศึกษาปัจจัยประกอบจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งก่อนการตัดสินใจ และใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลในการพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ลงทุนที่เหมาะสมแก่ท่าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

รับฟรีทันที! เงินเสมือนจริง $50,000 เพื่อฝึกฝนการเทรดกับ Mitrade!