กลยุทธ์การเทรด FOREX อย่างมีประสิทธิภาพที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย

การเทรด FOREX หรือบางครั้งอาจเรียกว่าการเทรด FX คือการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราซึ่งราคาในการแลกเปลี่ยนค่าเงินนั้นจะแปรผันไปตามอุปสงค์และอุปทานของตลาด โดยมีจุดประสงค์เพื่อเก็งกำไรส่วนต่างจากการซื้อมาในช่วงราคาที่ถูก และขายออกไปในช่วงราคาที่แพงนั่นเอง ในการซื้อขายนั้น เราจะต้องแยกคำนึงถึงปัจจัยด้านต่าง ๆ แล้ววิเคราะห์ในภาพรวมเข้าด้วยกันเพื่อพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายที่เหมาะสมกับตัวเราเองโดยเฉพาะ แน่นอนว่ามีกลยุทธ์มากมายหลายแบบที่เราสามารถเลือกใช้ได้ แต่การทำความเข้าใจให้ถูกต้องถ่องแท้และปรับให้เข้ากับกลยุทธ์ของเราเองเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เทรดเดอร์ทุกคนย่อมมีเป้าหมายและทรัพยากรที่แตกต่างกัน
ก่อนอื่นขอแนะนำคำศัพท์ที่ควรรู้ในการเทรด FOREX กันก่อน
- การเลือกคู่สกุลเงิน : เทรดเดอร์จะต้องกำหนดคู่สกุลเงินที่ต้องการซื้อขาย และศึกษาคู่สกุลเงินนั้นให้เชี่ยวชาญ เช่น USD/EUR หรือ USD/CHF เป็นต้น
- Position Sizing : โพสิชั่น ไซส์ซิ่ง เทรดเดอร์ต้องจำกัดผลการขาดทุนเพื่อควบคุมความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละธุรกรรม
- จุดซื้อ : เทรดเดอร์จะต้องกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมว่าเมื่อใดควรสร้างคำสั่งซื้อหรือคำสั่งขายในคู่สกุลเงินที่กำหนดเพื่อเริ่มเก็งกำไร
- จุดขาย : เทรดเดอร์จะต้องกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมว่าเมื่อใดควรออกจากสถานะซื้อหรือขาย และเมื่อใดควรออกจากตำแหน่งที่ขาดทุน (Stop loss)
- กลยุทธ์การซื้อขาย : เทรดเดอร์ควรกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับวิธีการซื้อและขายคู่สกุลเงิน และใช้วิธีการพิจารณาตัดสินใจที่ถูกต้อง
เมื่อเราต้องเลือกกลยุทธ์ในการเทรด FOREX เรามาลองดูกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายดังนี้
Table of Contents
กลยุทธ์การซื้อขายช่วง (Range Trading Strategy)
การซื้อขายช่วงเป็นกลยุทธ์การลงทุนเชิงรุก โดยอาศัยการวิเคราะห์กรอบแนวรับและกรอบแนวต้านด้วยอินดิเคเตอร์โมเมนตัม (Momentum Indicator) เช่น RSI หรือ MACD
หากราคาอยู่ในกรอบระหว่างแนวรับและแนวต้าน เทรดเดอร์อาจซื้อในระดับแนวรับ และขายระดับแนวต้าน ในทางตรงข้ามเทรดเดอร์อาจเลือก Short ระดับแนวต้านและออกจาก Position ที่ระดับแนวรับ จนกว่าจะมีการทะลุกรอบราคานั้น ซึ่งเทรดเดอร์ต้องมีการตั้ง Stop-loss ไว้ด้วย เพราะหากราคาทะลุผ่านช่วงที่กำหนดไว้นี้ อาจเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มใหม่กำลังจะก่อตัว
การซื้อขายช่วงต้องคาดการณ์ระยะเวลาทางการตลาดที่แม่นยำ ต้องรู้ว่าคู่สกุลเงินนั้นจะซื้อขายระหว่าง 2 ราคาเมื่อใดและนานเท่าใด การซื้อขายช่วงอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียหากราคาไม่เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เราคาดหวังในช่วงเวลานั้น นอกจากนี้เรายังควรนำการวิเคราะห์ทางเทคนิคแนวรับและแนวต้าน แนวโน้มปริมาณ และค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่มาใช้ประกอบกันด้วย
ข้อดี | ข้อเสีย |
มีโอกาสในการซื้อขายจำนวนมาก | ต้องใช้เวลาลงทุนนาน |
อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนน่าพอใจ | ต้องใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคขั้นสูง |
กลยุทธ์การซื้อขายตามเทรนด์ (Trend Trading Strategy)
การซื้อขายตามเทรนด์ของแรงส่งจากทิศทางอุปสงค์และอุปทานของตลาด โดยดูแนวโน้มค่า Indicator ของราคาปัจจุบัน แล้วระบุทิศทาง ระยะเวลา และความแข็งแกร่งของแนวโน้มโดยรวมเพื่อวิเคราะห์ดูว่าเมื่อใดที่ตลาดจะกลับตัว ไม่จำเป็นต้องรู้ทิศทางหรือระยะเวลาของการกลับตัวที่แน่นอน เพียงแค่ต้องรู้ว่าเมื่อใดควรออกจากการซื้อขายในปัจจุบันเพื่อล็อคผลกำไรและจำกัดการขาดทุนเท่านั้น การซื้อขายตามเทรนด์อาจต้องใช้ความพยายามในการพิจารณาตัวแปรจำนวนมากเพื่อให้สมเหตุสมผลที่สุด
ตัวอย่าง การกำหนดแนวโน้มของเทรนด์ตลาดในภาพ ค่าเงิน GBP/USD กำลังแสดงแนว โน้มขาขึ้น ซึ่งได้รับการยืนยันโดยเส้น Higher Highs และ Higher Lows เมื่อเราเห็นแนวโน้มที่เป็นทิศทางขาขึ้นในตลาด เราก็จะซื้อขายตามแนวโน้มขาขึ้นนั้น


ข้อดี | ข้อเสีย |
ไม่ต้องกดสั่งออเดอร์บ่อย ๆ | เป็นการลงทุนระยะยาวที่ต้องใช้เวลา ใช้งบลงทุนสูง |
ลดความกังวลเพราะ ไม่ต้องมาคอยดูกราฟมากเกินไป | ยากที่จะกำหนดแนวโน้ม |
กลยุทธ์การซื้อขายโดยรักษาตำแหน่งในระยะยาวเอาไว้ (Position Trading Strategy)
เทคนิคประเภทนี้ เทรดเดอร์ต้องลงทุนในระยะยาวโดยคาดหวังว่าจะได้รับมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของราคาในระยะสั้นและข่าวประจำวัน เว้นแต่จะเปลี่ยนทิศทางการลงทุนในระยะยาวเท่านั้น โดยส่วนใหญ่ทำการซื้อขายน้อยกว่า 10 ครั้งในหนึ่งปี
เทรดเดอร์แบบ Position Trading สามารถใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์พื้นฐานร่วมกัน ดูปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค แนวโน้มตลาดโดยรวม และรูปแบบในอดีตเพื่อตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ในทิศทางที่คาดว่าจะเป็นไปตามที่ต้องการ เทรดเดอร์แบบ Position Trading ต้องกำหนดจุดเข้า จุดออก คอยพัฒนาแผนที่เหมาะสมเพื่อควบคุมความเสี่ยง เช่น ตั้งการ Stop Loss เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้
ข้อดี | ข้อเสีย |
ไม่ต้องกดสั่งออเดอร์บ่อย ๆ | โอกาสในการซื้อขายน้อยมาก |
ใช้เวลาเฝ้าหน้าจอเพื่อลงทุนน้อย | สภาพคล่องไม่ดี ต้องลงทุนในระยะยาว |
เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ระยะยาว |
กลยุทธ์การซื้อขายรายวัน (Day Trading Strategy)
เทรดเดอร์แบบรายวัน เป็น กลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้นเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาเพียงเล็กน้อยในสกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูง เทรดเดอร์ต้องคอยจับความเคลื่อนไหวของราคาระหว่างวันอย่างใจจดใจจ่ออยู่หน้าจอตลอดเวลา เพื่อใช้ประโยชน์จากความผันผวนที่เกิดขึ้น โดยที่ความผันผวนของตลาดในแต่ละวันจะขึ้นอยู่กับระดับอุปสงค์และอุปทานในขณะนั้น ๆ มากกว่าสภาวะตลาดพื้นฐาน
กลยุทธ์การซื้อขายรายวันนี้ นักเก็งกำไรจะเน้นการซื้อขายสินทรัพย์เดียวกันวันต่อวันและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาระหว่างวันโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น ค่าเฉลี่ยการเคลื่อนที่เร็วและช้าของกราฟ หากเข้าใจทิศทางแนวโน้มของตลาดได้อย่างถูกต้อง เทรดเดอร์ก็จะสามารถติดตามแนวโน้มและปิดการซื้อขายตามเป้าหมายได้ทั้งหมดก่อนที่ตลาดจะปิด พบบ่อยที่สุดในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและในตลาดหุ้น
นักเทรดรายวันต้องมีต้องการประสบการณ์และความคุ้นเคยกับตลาดเป็นอย่างดี ฝึกการจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมที่จะตอบสนองอย่างรวดเร็วหากราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับแผน
ข้อดี | ข้อเสีย |
มีโอกาสในการซื้อขายระหว่างวันมากมาย | ต้องใช้ความรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในระดับสูง |
อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนปานกลาง | มีความเสี่ยงสูง เทรดเดอร์ต้องมีความเด็ดขาดในการซื้อขายหลักทรัพย์ |
กลยุทธ์การซื้อขายจากแหล่งข่าว (News Trading Strategy)
ตลาดการซื้อขายเงินตราต่างประเทศหรือ Forex ได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลก การทำความเข้าใจเหตุการณ์ข่าวเศรษฐกิจและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับคู่สกุลเงินช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาด เพื่อคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงจากข่าวจะทำให้ราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด และคาดการณ์ Market Breakout ซึ่งหมายถึงราคาที่วิ่งทะลุกรอบแนวรับหรือแนวต้านที่เราตั้งไว้
แหล่งข่าวที่สำคัญ ได้แก่ อัตราดอกเบี้ย รายงานทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับอัตราการว่างงานของประเทศ อัตราเงินเฟ้อ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ดุลการค้าของประเทศ และแบบสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เป็นต้น ซึ่งเทรดเดอร์จะต้องตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรเหล่านี้ควบคู่ไปกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าตลาด Forex อาจได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดหมายที่โดดเด่นอย่างภัยธรรมชาติหรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์ต้องตระหนักว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเหล่านี้ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับกลยุทธ์การซื้อขายจากแหล่งข่าวเสมอไป
ข้อดี | ข้อเสีย |
มีศักยภาพในการทำกำไรสูงในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ | มีความเสี่ยงมากเช่นกัน ความผันผวนสูง |
มีแหล่งข่าวให้พิจารณาหลากหลายปัจจัยประกอบกันเพื่อเลือกตัดสินใจ | เหมาะกับเทรดเดอร์มีประสบการณ์มาก ไม่เหมาะกับมือใหม่ |
กลยุทธ์การซื้อขายแบบสคราฟ (Scalping Trading Strategy)
Scalping เป็นกลยุทธ์การซื้อขายในระหว่างวันซึ่งเทรดเดอร์ซื้อและขายสกุลเงินอย่างรวดเร็วที่สุดโดยมีเป้าหมายในการทำกำไรเพียงเล็กน้อยในเวลาสั้น ๆ โดยซื้อสกุลเงินที่ราคาปัจจุบัน ภายใต้สมมติฐานว่าราคาจะเพิ่มขึ้นเพียงพอที่จะครอบคลุมสเปรดแล้วจึงขายออกไป ทั้งนี้ต้องรอให้ราคาเสนอซื้อสูงกว่าราคาเสนอเริ่มต้น และรีบขายค่าเงินออกไปก่อนที่ราคาจะผันผวนอีกครั้ง จากนั้นทำซ้ำ ๆ กันไปเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว
เทรดเดอร์แบบ Scalping ต้องรู้จักรักษาสภาพคล่องให้ดี และเลือกกำหนดราคาเสนอซื้อและแพลตฟอร์มที่เรียกเก็บค่าสเปรดต่ำ เพราะต้องมีการซื้อขายเข้า ๆ ออก ๆ บ่อยครั้ง เลือกใช้แพลตฟอร์มที่มีเวลาหน่วงต่ำ สามารถซื้อขายหลายรายการพร้อมกันด้วยความเร็วและความแม่นยำที่เสถียร
เทรดเดอร์ต้องวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาอย่างต่อเนื่อง คำนวณค่าสเปรดให้คุ้มทุนอย่างแม่นยำ ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและซอฟต์แวร์การจดจำรูปแบบเพื่อยืนยันทิศทางและโมเมนตัมของแนวโน้ม ค้นหาการ Breakout ของราคาที่วิ่งทะลุกรอบแนวรับหรือแนวต้านที่เราตั้งไว้ ระบุสัญญาณซื้อและขายในช่วงเวลาเป้าหมาย คอยติดตามเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น
ข้อดี | ข้อเสีย |
Scalping ให้ความสำคัญกับความเร็วเป็นอย่างมาก ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้เพื่อเพิ่มยอดเงินในพอร์ตซื้อขายได้เร็วกว่ากลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ | มีปริมาณการซื้อขายจำนวนมาก ซับซ้อน ต้องวางแผนจัดการให้เหมาะสมและรวดเร็วเพียงพอ |
เทรดเดอร์สามารถเลือกซื้อขายอย่างกระตือรือร้นเพียงสองสามชั่วโมงต่อวันเท่านั้น | ต้องการสมาธิที่แน่วแน่ และจังหวะเวลาอันไร้ที่ติ ไม่ลังเลที่จะซื้อหรือขาย |
Scalping ให้ความสำคัญกับความเร็วเป็นอย่างมาก ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้เพื่อเพิ่มยอดเงินในบัญชีซื้อขายได้เร็วกว่ากลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ | |
ไม่มีการถือค่าเงินข้ามคืน ไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม |
กลยุทธ์การซื้อขายแบบสวิง (Swing Trading Strategy)
การซื้อขายแบบสวิงเป็นกลยุทธ์ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคาที่วิ่งเป็นรอบในระยะกลางประมาณ 1-20 วัน ซึ่งราคาอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงขัดกับทิศทางของแนวโน้มหลักที่มีอยู่ตามแผน ถือหุ้นไว้จนราคาหุ้นที่ยังวิ่งอยู่เริ่มจะเคลื่อนที่น้อยลงจบรอบ จึงขายทำกำไร จากนั้นเข้าซื้อหุ้นตัวอื่นที่เริ่มวิ่งแทน
แนวทางนี้เทรดเดอร์ถือสถานะไว้ข้ามคืน ไม่เหมือนกลยุทธ์การซื้อขายระหว่างวันแบบ Day Trading โดยอาจทำการซื้อครั้งละสองหรือสามสัปดาห์จึงจะขายออก ใช้การจับสัญญาณจากการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและพื้นฐาน สำหรับด้านเทคนิค เทรดเดอร์จะใช้ตัวบ่งชี้โมเมนตัมและค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในรอบ 1-20 วัน ส่วนปัจจัยพื้นฐานให้ดูที่ตัวชี้วัดระดับไมโครและมหภาคเพื่อช่วยกำหนดมูลค่าของสินทรัพย์
ข้อดี | ข้อเสีย |
เหมาะกับตลาดที่มีความผันผวนสูง | ไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการถือกำไรในระยะยาว |
มีโอกาสในการซื้อขายจำนวนมาก | ต้องหาจุดเข้าให้เป็นและแม่นยำ |
อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนปานกลาง | |
ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลาเป็นรายนาที |
กลยุทธ์การซื้อขายแบบ Carry (Carry Trading strategy)
กลยุทธ์การซื้อขายแบบ Carry เป็นการใช้กลยุทธ์การจับเสือมือเปล่า โดยไม่ต้องมีเงินสดในพอร์ต แต่เป็นการกู้ยืมเงินในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปลงทุนในสกุลเงินที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า โดยคาดหวังกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินต่างประเทศ
ลองจินตนาการภาพว่าเราเบิกเงินสดล่วงหน้า 0% จากบัตรเครดิตในระยะเวลาที่จำกัดเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่มีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมคงที่ 1% เป็นต้นทุนของเงินทุนสำหรับการเบิกเงินสดล่วงหน้า 100 USD สมมติว่านำเงินที่ยืมมานี้ไปลงทุนในตลาด FOREX เป็นจำนวนหนึ่งปีที่มีอัตราดอกเบี้ย 15% เราก็จะมีกำไร 15% – ต้นทุน 1% = 14% หลักการของ การซื้อขายแบบ Carry ก็มีแนวคิดในแบบเดียวกัน
ข้อดี | ข้อเสีย |
สามารถสร้างรายได้โดนไม่ต้องใช้เงินสด ช่วยให้เราได้ใช้เลเวอเรจเพื่อประโยชน์ในการลงทุน | ความเสี่ยงที่ราคาทรัพย์สินที่ลงทุนจะลดลงอย่างมากจนไม่มีเงินไปจ่ายต้นทุนดอกเบี้ยที่กู้ยืมมา |
สามารถเพิ่มผลตอบแทนต่อปีได้มากขึ้นในวงเงินที่จำกัด | ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อสกุลเงินของเงินทุนแตกต่างจากสกุลเงินในประเทศของผู้กู้ |
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีเงินทุนสนับสนุนหนาในกรณีขาดทุนเนื่องจากมีความเสี่ยงสูง | |
ขึ้นอยู่กับแนวโน้มขาขึ้นที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงมาก |
เมื่อใดที่เราควรจะเปลี่ยนกลยุทธ์การเทรด Forex?
แต่ละกลยุทธ์ที่กล่าวมานั้น มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน เวลาที่เลือกกลยุทธ์ สิ่งสำคัญคือเราต้องคำนึงถึงรูปแบบของกลยุทธ์เปรียบเทียบกับความเสี่ยงที่เราสามารถยอมรับได้ เป้าหมายการลงทุน ระยะเวลาต่อวันที่จะใช้เพื่อการซื้อขาย Forex บุคลิกภาพของเรา ประสบการณ์และสภาวะของตลาดด้วย หากเราเป็นมือใหม่ในการซื้อขาย Forex อาจเริ่มต้นด้วยการใช้กลยุทธ์ระยะยาวก่อน เพื่อฝึกการเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ฝึกการจัดการเงินอย่างชาญฉลาด และสะท้อนประสิทธิภาพในการเทรดของเรา
ไม่ใช่ว่าทุกกลยุทธ์จะเหมาะกับทุกตลาด กลยุทธ์บางอย่างทำงานได้ดีกว่าในตลาดที่มีแนวโน้ม ขณะที่บางกลยุทธ์มีประสิทธิภาพมากกว่าในสภาวะที่ผันผวน เราควรทำความเข้าใจตลาดและพิจารณาว่ากลยุทธ์ใดเหมาะสมที่สุด
การซื้อขายแบบ Position Trading เป็นวิธีการสร้างความมั่งคั่งซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถอยู่หน้าจอทั้งวันได้
การซื้อขายแบบ Swing Trading เป็นวิธีการสร้างความมั่งคั่งซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ใช้เวลาสองสามชั่วโมงต่อวันในการซื้อขาย
ส่วนการซื้อขายรายวันแบบ Day Trading และการซื้อขายแบบ Scalping Trading เป็นวิธีการสร้างความมั่งคั่งซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่สามารถใช้เวลาทั้งวันอยู่หน้าจอได้
ท้ายที่สุดนี้ จงจำไว้ว่าเมื่อเราเสียเงินจากการเทรด ไม่ได้แปลว่าเราทำอะไรผิดหรือแนวทางของเรามีข้อบกพร่องเสียทีเดียว แต่การเทรดต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝน แม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถช่วยเราจัดการความเสี่ยงและผลตอบแทน แต่ยิ่งเราใช้เวลาเรียนรู้และฝึกฝนกลยุทธ์บางอย่างมากเท่าไร เราก็จะยิ่งเชี่ยวชาญในกลยุทธ์นั้น ๆ มากขึ้นเท่านั้น การมีวินัยในแนวทางจะช่วยให้เราเข้าใจถึงเทคนิคที่ได้ผลและไม่ได้ผลสำหรับตัวเรา ทั้งนี้หากเราเปลี่ยนกลยุทธ์บ่อยเกินไปก็จะระบุปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการเทรดของเราได้ยาก เมื่อไม่แน่ใจให้ยึดหลักการพื้นฐานในการซื้อขายตามเทรนด์เพื่อรักษาความมั่นคงให้กับพอร์ตของเราเอาไว้ก่อน
กลยุทธ์การเทรด Forex เหล่านี้จะเลือกไปใช้ในแพลตฟอร์ตไหนดี?
เราขอแนะนำ Mitrade เพราะจากประสบการณ์การลงทุนมากกว่า 10 แพลตฟอร์มทั่วโลกกว่า 20 ปีที่ผ่านมานั้น การเทรด Forex ที่ดีที่สุดในประเทศไทยตอนนี้คิดว่าเป็นของ Mitrade ซึ่งใช้งานได้ง่าย มีระบบ Stop Loss ที่ดี ค่าธรรมเนียมต่ำ ไม่มีค่าคอมมิชชั่น ฝ่ายบริการลูกค้าออนไลน์ดี ตอบเร็ว พูดภาษาไทยด้วย หากเพื่อน ๆ สนใจลองไปศึกษาดูในหน้าเว็บ ลองเปิดบัญชีเทรดดูได้ที่ https://www.mitrade.com/th
แพลตฟอร์ม Mitrade นี้ได้รับรางวัลมากมาย เช่น รางวัลโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่เติบโตเร็วสุดในออสเตรเลียจากนิตยสาร International Business 2019 รางวัลแพลตฟอร์มเทรดบนมือถือที่ดีที่สุดจาก Forex Awardsรับรางวัลโบรกเกอร์ที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยม 2020 เป็นต้น ค่อนข้างน่าเชื่อถือและน่าลงทุนมาก ๆ สำหรับทั้งมือใหม่และมือโปร
**คำเตือน การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
เนื้อหาในบทความเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความ เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุนเท่านั้น ผู้อ่านควรศึกษาปัจจัยประกอบจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งก่อนการตัดสินใจ และใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลในการพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ลงทุนที่เหมาะสมแก่ท่าน
ใส่ความเห็น