เทรด Forex ด้วย Leverage : เลเวอเรจหรือ Leverage แปลว่าอะไร?

เลเวอเรจหรืออัตราทด ในภาษาอังกฤษนั้น คำว่า Leverage แปลว่าคานงัด แต่ในทางการเงินเลเวอเรจเปรียบเสมือนคานดีดที่แค่ออกแรงลงทุนเพียงเบา ๆ แต่สามารถทำให้เราได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นมาก หรือทำให้เรามีโอกาสขาดทุนมากดั่งคานดีดมหัศจรรย์เช่นกัน เราลองมาทำความรู้จักกับเลเวอเรจกันเถอะ

เลเวอเรจหรือ Leverage แปลว่าอะไร?

เลเวอเรจ (Leverage)หรือ อัตราทด เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราลงทุนได้ง่ายมากขึ้น โดยไม่ต้องมีเงินลงทุนมากเท่ากับจำนวนทั้งสัญญาที่กำหนดไว้ เช่น เราต้องการลงทุน 10,000 บาท แต่ในปัจจุบันเรามีเงินอยู่เพียง 500 บาท และเรากำลังจะมีเงินเข้าบัญชีมาอีก 10,000 ในวันสิ้นเดือน แต่เมื่อดูจากเทรนในตลาดของราคาหลักทรัพย์นั้นแล้ว เราควรจะต้องออกคำสั่ง Short หรือ Long ในตอนนี้เลย โดยไม่สามารถจะรอวันสิ้นเดือนที่จะมีเงินสดเข้ามาได้ ถึงจะเข้าซื้อเก็งกำไรในตำแหน่งที่เหมาะสมได้

ส่วนคำศัพท์อีกหนึ่งคำที่มักมาคู่กันกับเลเวอเรจ ก็คือ Margin ซึ่งหมายถึง หลักประกันหรือเงินวางประกันของจำนวนเงินที่จะต้องวางไว้กับโบรกเกอร์ก่อนทำการเทรด

เมื่อใช้เลเวอเรจในการลงทุน เราสามารถนำเงินเพียง 500 บาทในปัจจุบันมาเป็นหลักประกันเพื่อลงทุนมูลค่า 10,000 บาทได้ในทันที  แล้วติดค้างเงินอีก 9,500 บาทเอาไว้จ่ายชำระเงินทีหลังได้ ทำให้เรามีโอกาสในการช้อนซื้อหลักทรัพย์นั้นได้ในจังหวะที่เหมาะสม จากนั้นหากได้กำไรมาเป็นจำนวนมาก เราอาจจะไม่ต้องจ่ายเงินที่ค้างไว้อีก 9,500 บาทนั้นเลยก็เป็นได้ คล้ายกับการหยิบยืมเงินมาลงทุนไปก่อนแล้วค่อยไปเคลียร์กันในภายหลัง

Leverage หรือ อัตราทด ทำงานอย่างไร?

หากโบรกเกอร์ของเรา กำหนดให้อัตราทดแก่เราที่ 1:20 ก็ให้นำเลขด้านหน้ามาหารด้วยเลขด้านหลัง กดเครื่องคิดเลขคำนวณ 1 หาร 20 แล้วนำไปคูณ 100 เช่น (1/20)x100 = 5% ซึ่งจะหมายหมายความว่าเราสามารถวางเงินวางประกัน (Margin) เพียงแค่ 5% ของมูลค่าสัญญาทั้งหมดที่เราจะลงทุนได้ เช่น เราสามารถนำเงิน 500 บาทมาเป็นหลักประกันเพื่อลงทุนมูลค่า ได้ถึง 10,000 บาท

ยิ่งถ้าตัวเลขอัตราทดหรือเลเวอเรจ มีจำนวนเปอร์เซ็นต์ของเงินวางประกัน (Margin) ที่คำนวณได้น้อยเท่าใด ก็แปลว่า เราสามารถใช้เงินจำนวนน้อยลงเท่านั้นในการเริ่มเปิดสัญญา Short หรือ Long ที่จำนวนขนาดใหญ่กว่าได้ การเทรดโดยใช้เลเวอเรจนี้ เรามักเรียกอีกอย่างว่า “Margin Trading”

what is leverage

อัน Leverage นั้นเปรียบเสมือน “ดาบสองคม”

เนื่องจากการใช้อัตราทด (Leverage) เป็นเสมือนการยืมเงินจากโบรกเกอร์มาใช้เพื่อการลงทุนไปก่อนล่วงหน้า เลเวอเรจมักจะทำให้เรารู้สึกว่ามีเงินในพอร์ตมากกว่าที่มีอยู่จริง ทว่าหากเราไปหยิบยืมมาเกินจำนวนที่เราสามารถรับผิดชอบในการจ่ายเงินคืนได้ และยิ่งสัญญาที่ลงทุนด้วยเลเวอเรจไป มีจำนวนมากเท่าไร  เราก็จะมีโอกาสที่จะได้ทั้งกำไรจำนวนมาก หรืออาจจะขาดทุนเป็นจำนวนมาก หากเราเก็งกำไรผิดพลาดไป เราก็อาจจะทำให้สูญเสียเงินฝากทั้งหมดในบัญชีได้ในพริบตาเช่นกัน

ข้อดีของการใช้เลเวอเรจ (Leverage)

1. ทำให้เราวางเงินประกันได้น้อยลง ถือสัญญาหรือหลักทรัพย์ได้นานยิ่งขึ้น

2. ทำให้เกิดกำไรที่สูงกว่า โดยใช้เงินลงทุนน้อยลง ใช้เวลาน้อยลง

ข้อเสียของการใช้เลเวอเรจ (Leverage)

ทำให้เทรดเดอร์บางคนขาดสติและใช้เงินลงทุนเกินตัว การใช้อัตราทดเพื่อซื้อสินทรัพย์มาครอบครองสำหรับการเทรด Forex ก่อน เป็นการยืมเงินจากโบรกเกอร์มาซื้อสินทรัพย์หนึ่งๆ ล่วงหน้าซึ่งมีมูลค่ามากกว่าเงินที่เรามีอยู่จริงๆ ดังนั้นการมีวงเงินที่ใช้เลเวอเรจอยู่ในมือ อาจทำให้เทรดเดอร์ที่อยากได้กำไรมาก ๆ ใช้เลเวอเรจอย่างขาดสติได้

เราจึงต้องเลือกลงทุนในระดับความเสี่ยงที่ตนเองสามารถยอมรับได้เท่านั้น คำนวณใช้ประโยชน์จากอัตราทด (Leverage) อย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อใช้โอกาสจากเครื่องมือเลเวอเรจนี้ให้สามารถทำกำไรได้ทั้งราคาตลาดขาขึ้นและขาลงอย่างเหมาะสม เพราะอัน Leverage นั้นเปรียบเสมือน “ดาบสองคม” ที่มีทั้งด้านดีและด้านเสียอยู่เสมอ

ตัวอย่างการคำนวณ Leverage ในการลงทุน FOREX

เมื่อเราทราบถึงทฤษฎีโดยทั่วไปของเลเวอเรจแล้ว เราลองมาคำนวณการซื้อขายค่าเงินในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนจาก ตัวอย่างราคาของค่าเงิน EURUSD

สมมติให้ค่าเงินในตลาดปัจจุบันเท่ากับ 1.10 (Bid) เราจะต้องใช้เงิน USD เพื่อซื้อเงิน EUR เมื่อเราตัดสินใจซื้อ 1 Standard Lot เราจะต้องใช้เงินทั้งหมด 1.10 x 100,000 USD เท่ากับ 110,000 USD ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มีมูลค่าสูงมาก

แต่ถ้าหากเราใช้ Leverage 1:200 เราจะใช้เงินเพียงแค่ 110,000 USD หารด้วย 200 เท่ากับ 550 USD หมายถึงว่าเราต้องวางเงินประกันหรือ Margin ให้โบรกเกอร์เพียง 550 USD เท่านั้น

ตัวอย่างโลกแห่งความเป็นจริงของ Leverage

ในปี 2019 European Securities and Markets Authority (ESMA) ได้เสนอกฎใหม่สำหรับโบรกเกอร์ในสหภาพยุโรปที่จะช่วยไม่ให้เทรดเดอร์ต้องเสี่ยงมากเกินไป ในการซื้อขาย ESMA แนะนำขีดจำกัดเลเวอเรจต่อไปนี้:

เลเวอเรจ 30:1 ในคู่สกุลเงินหลัก = หลักประกัน 3.33%

เลเวอเรจ 20:1 ในดัชนีหลัก = หลักประกัน 5%

เลเวอเรจ 10:1 สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ (ไม่รวมทองคำ) = หลักประกัน 10%

เลเวอเรจ 5:1 ของหุ้น = หลักประกัน 20%

นี่เป็นตัวอย่างในโลกแห่งความเป็นจริง ที่เทรดเดอร์จำนวนมากจะซื้อขายด้วยการตั้งค่า Stop Loss ด้วยกฎที่คล้ายคลึงกันและภายใต้หลักการด้านบน ซึ่งเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับพอร์ตของเราได้เช่นกัน

เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เสียเงินจากเลเวอเรจเนื่องจากขาดความรู้ด้านการตลาด มีวินัยการเทรดที่ไม่ดี ใช้อารมณ์ในการเทรด และบริหารความเสี่ยงไม่ดี ดังนั้นเราขอแนะนำให้เทรดเดอร์

1. มีเวลาเรียนรู้การเทรดมากขึ้น

ผู้ค้ารายใหม่ที่เทรดด้วยอัตราส่วนเลเวอเรจที่ต่ำกว่าจะมีเวลามากขึ้นในการเรียนรู้การเทรด เนื่องจากพวกเขามักจะอยู่ในสัญญานานขึ้น มีความผันผวนในบัญชีน้อยลง ซึ่งจะช่วยให้ควบคุมอารมณ์ในการเทรดได้เป็นอย่างดี

2. ลดความเสี่ยงของการขาดทุนย่อยยับจนต้องปิดบัญชีไป

ผู้ค้าที่ยังใหม่ในตลาดควรลองเทรดในบัญชีจำลองก่อน หรือเลือกใช้อัตราส่วนเลเวอเรจที่ต่ำ ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์เรียนรู้วิธีการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่ต้องเสี่ยงที่จะขาดทุนทั้งบัญชี แน่นอนว่าการสูญเสียจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณแม้ว่าจะมีเลเวอเรจ 30:1 แต่อย่างน้อยก็สามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียที่มหาศาลได้อย่างมาก

3. ขยายขนาดการลงทุนและใช้เลเวอเรจในบัญชีอย่างมีความรับผิดชอบ

เทรดเดอร์รายใหม่ต้องเรียนรู้วิธีขยายขนาดการลงทุนและใช้เลเวอเรจในบัญชีของตนอย่างมีความรับผิดชอบมีการตั้งกฎในจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด รู้จักตั้ง Stop Loss และวางแผนกำไร ขาดทุนที่ยอมรับได้ ไม่โลภมากจนเกินไป

เปรียบเทียบการตั้งค่า Leverage

ตารางต่อไปนี้แสดงให้เห็นว่เราต้องจัดสรรเงินวางประกันหรือ Margin เท่าใดตามอัตราส่วนเลเวอเรจที่เราใช้

อัตราส่วนของ LeverageMargin ที่ต้องการ (%)
20 :15%
33 :13%
50 :12%
100 :11%
200 :10.5%
400 :10.25%
500 :10.2%

ทั้งนี้ยิ่งอัตราส่วนเลเวอเรจยิ่งสูงเท่าไร ความต้องการเงินวางประกันหรือ Margin ก็จะยิ่งต่ำลงเท่านั้น และเมื่อทำการซื้อขายด้วยเลเวอเรจสูง การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของตลาดก็อาจส่งผลทำให้ขาดทุนหรือได้กำไรเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ต้นทุนทางการเงินก็จะเพิ่มขึ้นเมื่อเรายืมเงินจากโบกเกอร์มมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน

ความสัมพันธ์ Leverage กับ Margin

Leverage คือ เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราลงทุนได้ง่ายมากขึ้น โดยไม่ต้องมีเงินลงทุนมากเท่ากับจำนวนทั้งสัญญาที่กำหนดไว้ สามารถเพิ่มผลลัพธ์หรือขนาดของการลงทุนได้มากกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่จริง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า การยืมเงินเพื่อซื้อสินทรัพย์

Margin คือ เงินที่ต้องใช้ประกันในการเปิดออเดอร์ ซึ่งเราจะใช้ Margin มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับขนาดของ Lot และ Leverage ที่เรียกใช้ เรียกง่าย ๆ ว่า Margin เป็นเงินทุนที่อยู่ในบัญชี Forex นั่นเอง

แล้ว Leverage กับ Margin มีความสัมพันธ์กันยังไง

ความสัมพันธ์กันระหว่าง Margin และ Leverage นั่นก็คือ จำนวน Margin เพิ่มขึ้น ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น รวมทั้งผลของกำไร ขาดทุนด้วย ส่วน Leverage เป็นงบการลงทุนที่ยืมเงิน Broker มา ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กันคือ Leverage ที่สูงขึ้นจะมีความสัมพันธ์ส่งผลให้ Margin ที่ใช้จะต่ำลง แต่มีความเสี่ยงสูงและโอกาสได้ผลกำไรตอบแทนก็สูงด้วยเช่นกัน การเลือก Leverage ที่สูงมีผลดีทำให้ Margin ลด  และทำให้สามารถเพิ่ม Lot การเทรดขึ้นได้

ความแตกต่างระหว่างการเลือก Leverage สูงและ Leverage ต่ำ

  • ตัวอย่างการเลือก Leverage แบบสูง

ตัวอย่าง Leverage = 1:100

หากส่ง Order คำสั่งซื้อ 1.00 Lot Size

Margin (เงินหลักประกัน) ที่ต้องใช้ = 1,000USD

สรุปคือวางเงินประกันเพียง 1%

  • ตัวอย่างการเลือก Leverage แบบต่ำ

ตัวอย่าง Leverage = 1:1

หากส่ง Order คำสั่งซื้อ 1.00 Lot Size

Margin (เงินหลักประกัน) ที่ต้องใช้ = 100,000USD

สรุปคือต้องวางเงินประกันเต็มจำนวน

จากตัวอย่างจะเห็นได้ถึงความสัมพันธ์กับ Margin กับ Leverage ที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ Margin ที่ใช้ลดต่ำลง

ทำไมต้องใช้ Leverage ในการเทรด Forex

เพราะส่วนต่าง Spread การคิดค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมในการเทรดของราคานั้นสูงมาก (ควรเลือกโบรกเกอร์ Forex ที่ Spread น้อย ๆ จะทำให้เราได้กำไรมากกว่า Broker ที่ Spread สูง) การที่จะเทรดเพื่อทำกำไรในปริมาณมาก ๆ จำเป็นต้องใช้เงินทุนอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงต้องใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Leverage มาใช้งานในการเทรด ซึ่งก่อนที่จะไปใช้เครื่องมือนี้ได้เทรดเดอร์จะต้องวางเงินหลักประกันตามมูลค่าสินทรัพย์ที่ทางโบรกเกอร์กำหนด

สรุป

โดยสรุปแล้วการเทรดโดยการใช้อัตราทดนั้นเหมือบดาบสองคมที่มีทั้งด้านดีและด้านเสีย อันจะช่วยให้นักลงทุนที่เทรดได้ดีและเทรดถูกช่วงสามารถเพิ่มขนาดของการลงทุนได้มากกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่จริงๆ เมื่อได้กำไรก็จะได้กำไรมากกว่าปกติหลายเท่า  และก็เป็นที่แน่นอนว่า ถ้าเราถูกกราฟสวิงลงไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม  ก็สามารถทำให้เกิดการขาดทุนอย่างหนักได้เช่นกัน ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ดังนั้น เทรดเดอร์ที่ใช้เลเวอเรจ ควรจะต้องศึกษา มีการวางแผนการบริหารความเสี่ยงในการเทรดอย่างรอบคอบ และเข้าใจเทคนิคการตั้ง Stop Loss ได้เป็นอย่างดี

ถ้าเพื่อน ๆ ยังไม่เคยลงทุน FOREX มาก่อน เราขอแนะนำให้เปิดบัญชีกับ Mitrade เพราะเป็นโบรกเกอร์ที่มีระบบใช้งานได้ง่าย ไม่มีค่าคอมมิชชั่น มีเพียงค่าธรรมเนียมที่เล็กน้อยมากเท่านั้น ทั้งยังมีฝ่ายบริการลูกค้าออนไลน์ที่พูดภาษาไทย และอำนวยความสะดวกให้ด้วยใจ หากเพื่อน ๆ สนใจลองไปศึกษาดูในหน้าเว็บ https://www.mitrade.com/th

Mitrade เป็นโบรกเกอร์สัญชาติออสเตรเลียที่ได้รับรางวัลมากมาย ตัวอย่างเช่น รางวัลโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่เติบโตเร็วสุดในออสเตรเลียจากนิตยสาร International Business 2019 รางวัลแพลตฟอร์มเทรดบนมือถือที่ดีที่สุดจาก Forex Awards รับรางวัลโบรกเกอร์ที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยม 2020 เป็นต้น ถือเป็นโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมากสำหรับทั้งมือใหม่และมือโปร

Mitrade Platform
ลงทะเบียนบัญชี MiTRADE

**คำเตือน การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

เนื้อหาในบทความเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความ เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุนเท่านั้น ผู้อ่านควรศึกษาปัจจัยประกอบจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งก่อนการตัดสินใจ และใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลในการพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ลงทุนที่เหมาะสมแก่ท่าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

รับฟรีทันที! เงินเสมือนจริง $50,000 เพื่อฝึกฝนการเทรดกับ Mitrade!