S&P 500 คืออะไร และมือใหม่ลงทุนยังไง?

S&P 500 คืออะไร? S&P 500 เป็นดัชนีที่สำคัญในตลาดหุ้นสหรัฐ อย่างไร? S&P 500 บอกภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ได้มากแค่ไหน? หากเป็นมือใหม่ผู้เริ่มลงทุนควรศึกษาข้อมูลนี้ไว้ให้ดี เพราะดัชนี S&P 500 จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้พอร์ตของคุณเติบโตได้เป็นอย่างดี หุ้น S&P 500 เหมาะกับมือใหม่ที่อยากลงทุนระยะยาว และใช้เงินเก็บเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงในทุก ๆ เดือน หากสนใจเริ่มต้นลงทุนอย่างง่าย ๆ และได้ผลตอบแทนที่ดี แนะนำให้อ่านบทความนี้ และห้ามพลาด!

S&P 500 คืออะไร?

Standard and Poor’s 500 หรือ S&P 500 คือ ดัชนีตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดจากการนำบริษัทใหญ่ 500 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เช่น NYSE NASDAQ มาคำนวณเป็นดัชนีหุ้น ซึ่งต้องมีองค์ประกอบตามเกณฑ์สำคัญบางอย่างด้วย เช่น มีสภาพคล่องสูง มีการเปิดให้ซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นมากกว่า 10% เป็นต้น ซึ่งผลจากการพิจารณาดัชนีนี้ เราจะพบว่ามันมีมูลค่าเกือบ 70-80% ของตลาดหุ้นทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก และสามารถสะท้อนตลาดหุ้นและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดี

จากส่วนนี้เราคงพอจะมองเห็นภาพรวมบางอย่าง ที่จะสามารถใช้เป็นเครื่องมือบ่งชี้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกาได้ และทำให้มีความเชื่อมั่นในดัชนีนี้มาเกือบ 60-70 ปีแล้ว ซึ่งมันมีความสำคัญอย่างยิ่งในการมองภาพรวมตลาดสหรัฐอเมริกา ในขณะนั้น ๆ ตัวอย่างเช่นในปัจจุบัน บริษัทใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกใน S&P 500 มักเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นหลัก บริษัทที่เราคุ้นหูกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็ได้แก่ Apple, Facebook, Microsoft, Amazon, Google, Tesla เป็นต้น จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ พวกเราเกือบทุกคนใช้ทุกวันและคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดัชนี S&P 500 จึงมีมูลค่าที่สูงมากในโลก นอกจากนี้หากพิจารณาหุ้นตัวอื่น ๆ ใน S&P 500 เราจะเห็นว่าแนวโน้มของหุ้นเทคโนโลยีเริ่มมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน

นั่นจึงหมายความว่าในยุคนี้บริษัทเทคโนโลยีเติบโตได้ดี และมาแรงเป็นอันดับต้น ๆ หากจะพิจารณาการลงทุนก็ควรมุ่งเน้นไปที่หุ้นด้านเทคโนโลยีที่มีแววโดดเด่นสูง นอกจากนี้ ผลประกอบการในช่วง 10 ปี หุ้น S&P 500 มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตัวอื่นโดยเฉลี่ยหลายเท่า กล่าวคือมีแนวโน้มว่าหากลงทุนใน S&P 500 แบบระยะยาวจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นทั่วไปมาก นี่จึงเป็นข้อดีที่โดดเด่นของหุ้น S&P 500 และมักสร้างผลตอบแทนสูงแก่นักลงทุน

อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงกระบวนการเบื้องต้นในการพิจารณา ส่วนในการลงทุนที่แท้จริงนั้น ต้องพิจารณาหลายองค์ประกอบร่วมด้วย ไม่ใช่พิจารณาเพียงแค่องค์ประกอบนี้เพียงอย่างเดียวแล้วตัดสินใจ

what is sp 500

S&P 500 เกิดขึ้นได้อย่างไร?  

เกิดจากความคิดของบริษัท Standard and Poor’s ที่มีความตั้งใจจะคิดค้นดัชนีที่เป็นเครื่องมือบ่งชี้ทิศทางของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา โดยใช้การถ่วงดุลน้ำหนักแบบใช้มูลค่าของบริษัท (ไม่ใช่ราคาหุ้น) พวกเขาจึงมุ่งเป้าไปที่บริษัทยักษ์ใหญ่ 500 บริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา ณ เวลานั้น (ปี ค.ศ. 1957) ซึ่งเมื่อมองภาพรวมของบริษัทใหญ่ 500 บริษัท เราจะเห็นทิศทางหรือแนวโน้มที่ค่อนข้างชัดเจนในระดับหนึ่ง จากความน่าเชื่อถือนี้เอง จึงถือกำเนิดดัชนี S&P 500 อย่างเป็นทางการ จากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนหุ้นบริษัทใหญ่เรื่อยมา บริษัทยักษ์ใหญ่บางแห่งล้มหายไป แล้วเกิดบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งใหม่ขึ้น ซึ่งพอเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้คนรู้สึกเชื่อมั่นขึ้นว่ายุคใหม่กำลังมาถึง ยิ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ถือกำเนิดใหม่มีรูปแบบการดำเนินคล้ายกันก็ยิ่งชัดเจน ในที่สุดก็กลายเป็น S&P 500 ในแบบปัจจุบันที่แนวโน้มใน S&P 500 คือแนวโน้มด้านเทคโนโลยีเป็นหลัก ดังนั้นจึงสะท้อนให้เห็นว่าหุ้นเทคโนโลยีเป็นหุ้นที่ค่อนข้างน่าลงทุน และมีแนวโน้มที่จะทำกำไรสูง

สูตรและวิธีการคำนวณน้ำหนัก

ใช้วิธีตามหลักคณิตศาสตร์ง่าย ๆ โดยพิจารณามูลค่าการตลาดของบริษัท (ไม่ใช่มูลค่าหุ้น) ของแต่ละแห่งประกอบกัน ซึ่งสูตรการหาก็จะเป็นดังนี้

what is sp 500

ซึ่งในที่นี้ต้องเป็นบริษัทหุ้นใน S&P 500 เท่านั้น ไม่ใช่นำบริษัทที่อยู่นอกเหนือ S&P 500 มาคำนวณ

การสร้างดัชนี S&P 500 

การพิจารณาบริษัทเพื่อสร้างดัชนี S&P 500 ต้องพิจารณาโดยมีองค์ประกอบหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น มีสภาพคล่องสูง ต้องเป็นหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา หมายความว่าหากเป็นหุ้นที่จดทะเบียนในต่างประเทศไม่สามารถนับเป็นดัชนี S&P 500 ได้ เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุด 500 แห่งโดยมีมูลค่าบริษัททางตลาดอย่างน้อย 11.8 พันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา (ตัวเลขอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นกับสภาวะตลาด) มีหุ้นที่ปล่อยให้ซื้อขายในตลาดหุ้นไม่น้อยกว่า 10% เป็นต้น

ข้อจำกัดของดัชนี S&P 500

ข้อจำกัดหลัก ๆ ของดัชนี S&P 500 ก็ยังคงมีอยู่ และไม่ได้หมายความว่ามันน่าเชื่อถือทั้งหมด ตัวอย่างสำคัญ เช่น เป็นเพียงหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นในสหรัฐฯ เท่านั้น นั่นหมายความว่าหากพิจารณาเฉพาะในตลาดแห่งเดียว เราอาจพลาดโอกาสซื้อขายหุ้นที่ดี เช่น หุ้นเทคโนโลยีจีนที่มีการเติบโตสูงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หรือตลาดอื่น ๆ อย่างเช่นเหรียญคริปโทเคอเรนซี่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น

นอกจากนี้ โดยทั่วไปดัชนีหุ้น S&P 500 มักเป็นหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ ผลตอบแทนของการลงทุนจึงสูงแต่ไม่สูงมาก ต่างจากหุ้นที่มีจุดเริ่มต้นขนาดเล็ก-กลาง ที่มีโอกาสทำให้ราคาตลาดพุ่งสูง ตัวอย่างเช่น เรามองเห็นศักยภาพของหุ้นเทคโนโลยี เราจึงอยากลงทุนกับหุ้นเทคโนโลยี แต่หากพิจารณาใน S&P 500 มันมักจะเป็นบริษัทที่โตเต็มที่แล้ว ราคาหุ้นจึงสูง และค่อนข้างแพง โอกาสที่จะโตพรวดพราดสร้างผลกำไรสูง ๆ จึงมีไม่มาก อย่างไรก็ตามหากมองหาหุ้นเทคโนโลยีควรมุ่งเน้นไปในตลาดหุ้น NASDAQ ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงกว่า อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของมันก็สูงเช่นกัน

ดังนั้นจึงพอบอกได้ว่า S&P 500 มักเหมาะกับการลงทุนระยะยาว เน้นแบบซื้อหุ้นเก็บสะสมในทุก ๆ เดือน เป็นระยะเวลาหลายปี ซึ่งโดยทั่วไปผลตอบแทนจะถือว่าค่อนข้างสูง แต่ไม่ได้สูงจนเกินไป หากอยากได้ผลกำไรสูงกว่า (แต่ความเสี่ยงสูงด้วย) ก็แนะนำให้ลองมองหุ้นระยะสั้นที่มีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว หรืออาจลองมองตลาดใหม่ ๆ อย่างคริปโทเคอเรนซี่ อย่างไรก็ดีผลกำไรสูง ย่อมหมายถึงความเสี่ยงที่สูงตาม ผู้ลงทุนต้องศึกษาอย่างรอบคอบ

หุ้นในดัชนี S&P 500 มีทั้งหมดกี่ตัว? และสัดส่วนของหุ้นในดัชนี S&P 500 10 อันดับแรก เป็นหุ้นอะไรบ้าง?

ตามชื่อของ ดัชนี S&P 500 แม้จะหมายถึงบริษัทใหญ่ 500 บริษัท แต่บางบริษัทมีหุ้นหลายตัว ดังนั้นในปัจจุบันมันจึงมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 506 หุ้น

ปัจจุบัน สัดส่วนของหุ้น 10 อันดับแรกใน S&P 500 ได้แก่ 

สัดส่วนของหุ้น 10 อันดับแรกใน S&P 500


1.Apple Inc. (AAPL)

2.Microsoft Corporation (MSFT)

3.Amazon.com Inc. (AMZN)

4.Tesla Inc (TSLA)

5.Alphabet Inc. Class A (GOOGL)

6.NVIDIA Corporation (NVDA)


7.Alphabet Inc. Class C (GOOG)

8.Meta Platforms Inc. Class A (FB)


9.Berkshire Hathaway Inc. (BRK.B)

10.JPMorgan Chase & Co. (JPM)
[ข้อมูลเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 64 จากเว็บไซต์ https://www.slickcharts.com/sp500]

สำหรับมือใหม่ S&P 500 ลงทุนยังไง ? 

สำหรับมือใหม่การลงทุนซื้อขายหุ้นนับว่าเป็นความเสี่ยงที่สูง เพราะมือใหม่มักมีความมั่นใจในตัวเองจนเกินใจ มีความโลภมากเกินไป ต้องการผลกำไรระยะสั้นที่สูง ดังนั้นมันจึงเข้าข่าย High Risk – High Return เผลอ ๆ กลายเป็นการพนันในรูปแบบของการลงทุนก็ยังได้ ดังนั้นเราจึงมีคำแนะนำง่าย ๆ ที่เหมาะกับมือใหม่ในการลงทุนตลาดหุ้น

(1) ใช้เงินเย็นลงทุน – พิจารณาเงินลงทุนโดยต้องเป็นเงินเย็นเท่านั้น เงินเย็นในที่นี้หมายถึงเงินที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ไม่มีการไหลเวียนเงินเข้าออก ไม่ต้องคอยฝากและถอน  คล้ายเป็นเงินฝากประจำในบัญชีอาจมีค้างไว้เป็นปีหรือสองปีก็ไม่เสียหาย ถ้ามีเงินประเภทนี้ให้ถือเป็นเงินเย็น เหมาะแก่การลงทุน แต่ถ้าหากเป็นเงินประเภทต้องเทียวถอนเทียวใช้ ไม่ใช่ประเภทเงินเก็บ ไม่เหมาะสมที่จะนำมาลงทุน เพราะหากอยู่ในช่วงร้อนเงินอาจมีความจำเป็นต้องขายหุ้นทิ้ง และนำเงินมาใช้แทน

(2) ซื้อผ่านกองทุน – ไม่จำเป็นต้องลงทุนเอง โดยทั่วไปแล้วการลงทุนซื้อขายหุ้น ต้องอาศัยความสามารถและประสบการณ์ที่ฝึกปรือมาอย่างต่อเนื่อง หลายคนฝึกมาเป็นสิบ ๆ ปีแต่ก็อาจมองพลาดเพราะความโลภ ดังนั้นเราจึงแนะนำให้ซื้อรูปแบบกองทุนแทน ซึ่งมีหลายกองทุนที่เหมาะสมในการลงทุนระยะยาว ความเสี่ยงต่ำ

(3) ศึกษากองทุนแทนศึกษาหุ้น – การศึกษากองทุนที่ผ่อนตอบแทนเหมาะสม มีความมั่นคงในช่วง 10 ปีหลัง ความเสี่ยงต่ำ และน่าเชื่อถือ นี่เป็นวิธีการเรียบง่ายที่สุดสำหรับคนที่อยากเข้าซื้อขายหุ้น เพราะผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจในด้านซื้อขายหุ้นจะลงทุนได้ดีกว่าเรา มีทีมงานที่มืออาชีพกว่าเรา ใช้ข้อมูลเป็นเหตุผล มากกว่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ดังนั้นถ้าหากพิจารณาอย่างรอบคอบก็ไม่จำเป็นต้องศึกษาให้ลึก แค่มีความรอบคอบก็เหมาะสมในการซื้อกองทุน ซึ่งกองทุนดัชนี S&P 500 มีค่อนข้างหลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ละกองทุนก็มีความโดดเด่นและข้อบกพร่องแตกต่างกันไป หากศึกษาวิเคราะห์ให้ดีก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา

(4) ซื้อกองทุนแบบเฉลี่ย หรือ DCA – ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มือใหม่เอาตัวรอดจากการขาดทุนคือการ DCA หรือการซื้อหุ้นหรือกองทุนแบบเฉลี่ยรายเดือน อาจใช้เงินเย็นที่เป็นเงินเก็บรายเดือนมาซื้อถัวเฉลี่ยก็ได้ เพราะการถัวเฉลี่ยจะทำให้เราได้หุ้นที่อยู่ในราคากลาง โอกาสขาดทุนต่ำ และมีความแน่นอนกว่าซื้อตู้มเดียวจบ เพราะถ้าหากเข้าผิดจังหวะ นอกจากจะมีโอกาสได้กำไรน้อยลง มันยังมีโอกาสขาดทุนอีกด้วย อย่างไรก็ตามการซื้อแบบถัวเฉลี่ยหรือ DCA มีผลดีมากกว่าผลเสีย โอกาสทำกำไรก็สูง ไม่จำเป็นต้องพะวงกับการซื้อขาย

ดังนั้นสำหรับมือใหม่ที่สนใจซื้อหุ้นแบบ S&P 500 จะเหมาะสมกว่าหากซื้อผ่านกองทุน และใช้วิธี DCA ในการซื้อกองทุน/หุ้น ซึ่งมันจะมีความแน่นอนกว่าซื้อด้วยตัวเอง

แต่สำหรับท่านใดที่สนใจซื้อหุ้นด้วยตนเอง คำแนะนำที่สำคัญคือศึกษาหุ้นตัวนั้นอย่างละเอียด มองทิศทางของตลาดหุ้น มองข้อมูลภาพรวมทั้งด้านเศรษฐกิจ และการเมืองอย่างรอบคอบ ศึกษาให้มาก อย่ามั่นใจในตัวเองมากเกินไป และสำหรับวิธีซื้อขาย ยังคงแนะนำให้ซื้อแบบ DCA เพื่อถัวเฉลี่ยป้องกันการขาดทุน และให้ลงทุนมุ่งเน้นแบบระยะยาว

what is sp 500

สรุป

ดัชนี S&P 500 สามารถสะท้อนตลาดหุ้นและเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดี เราจึงมองภาพรวมตลาดออกว่ามันมีแนวโน้มไปในทิศทางใด ซึ่งจาก 10 อันดับแรกของหุ้น S&P 500 เห็นชัดเจนว่าไปในทิศทางของหุ้นเทคโนโลยี สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ และมีโอกาสที่มันจะเติบโตสูงต่อไป อย่างไรก็ดีจุดเด่นและข้อจำกัดของดัชนี S&P 500 ก็ชัดเจนว่าความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ ผลกำไรก็ถือว่าเหมาะสมในการลงทุนระยะยาว แต่ผลตอบแทนระยะสั้นไม่ชัดเจนนัก ไม่เหมาะกับการเก็งกำไร ต่างจากตลาดใหม่ ๆ อย่างคริปโทเคอเรนซีที่มีผลตอบแทนและความเสี่ยงสูง

นอกจากนี้หากสนใจลงทุนหุ้นเทคโนโลยีโดยตรง การลงทุนผ่านดัชนี NASDAQ อาจเหมาะสมกว่า ดังนั้นการพิจารณาซื้อขายหุ้นจึงควรมองภาพรวมตลาดกว้าง ๆ ใช้ดัชนีหลายตัวในการช่วยวิเคราะห์ และอย่าลืมมองภาพรวมสังคม การเมือง เศรษฐกิจเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นอย่างรอบคอบ และสำหรับมือใหม่ที่สนใจตลาดหุ้น S&P 500 แนะนำว่าควรลงทุนผ่านกองทุนต่าง ๆ ที่มีให้เลือกทั้งในไทยและต่างประเทศ หรือสามารถใช้เงินเก็บที่เป็นเงินเย็นลงทุนในรูปแบบ DCA เป็นรายเดือน

**คำเตือน การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน

เนื้อหาในบทความเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความ เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุนเท่านั้น ผู้อ่านควรศึกษาปัจจัยประกอบจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งก่อนการตัดสินใจ และใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลในการพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ลงทุนที่เหมาะสมแก่ท่าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

รับฟรีทันที! เงินเสมือนจริง $50,000 เพื่อฝึกฝนการเทรดกับ Mitrade!