มีเงิน 5000 ลงทุนอะไรดี?และลงทุนอะไรให้งอกเงย 2565

รายได้จากช่องทางเดียวคงไม่เพียงพอ หลายคนพยายามที่จะหาช่องทางการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเองแต่ติดตรงที่มีเงินลงทุนไม่มาก ใครที่อยากเริ่มลงทุน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มลงทุนอะไรดี เพราะมีสินทรัพย์ทางการเงินให้เราเลือกลงทุนเยอะแยะไปหมด แถมก็ยังไม่รู้อีกว่าแบบไหนจะเหมาะกับเราทั้งในแง่ของเงินลงทุน ความเสี่ยง และเป้าหมายการลงทุน แนะนำว่าอย่าพลาดบทความนี้
Table of Contents
มีเงิน 5000 ลงทุนอะไรดี?
เรามาดูกันว่าหากมีเงินจำนวน 5,000 บาท จะเอาไปลงทุนทำอะไรได้บ้างสำหรับใครที่มีรายได้พอจะมีเงินเก็บแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกว่าควรเก็บเงินไว้ที่ไหนดี หรือควรนำเงินไปลงทุนอะไรให้งอกเงยได้บ้าง บทความนี้จะขอมาแนะนำ 7 ทางเลือก ว่าถ้าหากเรานำเงินของเราไปลงทุนในแต่ละทางเลือก ทางเลือกไหนจะให้ผลตอบแทนประมาณเท่าไหร่ และแต่ละทางเลือกมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด“แต่เพื่อนๆ อย่าลืมว่า ผลตอบแทนแทนที่คาดหวังสูง ก็จะมาพร้อมความเสี่ยงที่สูงตามนะคะ” มาดูในบทความกันเลย!!
ช่องทางที่น่าลงทุนในปี 2565
เงินฝาก
เชื่อว่าทุกคนน่าจะมีบัญชีออมทรัพย์กันอยู่แล้ว แต่จะเรียกว่าการฝากเงินเป็นการลงทุนก็คงเรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะมันคือ “การออม” มากกว่า แต่จะไม่หยิบมากล่าวถึงก็คงไม่ได้สำหรับการฝากเงินนั้นก็มีหลายประเภท
- ตัวอย่าง
- เงินฝากออมทรัพย์: เป็นการฝากเงินแบบไม่กำหนดระยะเวลาฝากถอน ผู้ฝากสามารถฝากและถอนเงินได้ตามวันที่สะดวก โดยดอกเบี้ยส่วนที่เกิน 20,000 บาทผู้ฝากเงินจะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ
- เงินฝากประจำ: เป็นการฝากเงินแบบกำหนดระยะเวลาฝากถอนชัดเจน ระยะเวลาก็มีตั้งแต่ 3, 6, 12, 24, 36 และสูงสุด 48 เดือน ซึ่งหากมีการถอนเงินก่อนครบกำหนดก็อาจจะไม่ได้รับดอกเบี้ยในอัตราที่ธนาคารประกาศ นอกจากนี้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำนั้นต้องมีการเสียภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ เช่นเดียวกับการฝากออมทรัพย์ แต่ก็มีบางธนาคารที่มีบัญชีเงินฝากแบบปลอดภาษีให้ลูกค้าได้เลือกใช้บริการอีกด้วย
- เงินฝากดิจิทัล: เป็นการฝากเงินในรูปแบบออนไลน์ โดยเงินฝากประเภทนี้จะไม่มีสมุดบัญชี และทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร ซึ่งแต่ละธนาคารก็จะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่แตกต่างกันไป
สินทรัพย์ | ผลตอบแทน | % ผลตอบแทน | ความเสี่ยง |
บัญชีออมทรัพย์ | ดอกเบี้ย | 0.10% – 2.00% | ต่ำ |
บัญชีฝากประจำ | ดอกเบี้ย | 0.30% – 1.90% | ต่ำ |
บัญชีดิจิทัล | ดอกเบี้ย | 1.10% – 2.00% | ต่ำ |

ที่มา: https://www.bot.or.th/thai/statistics/_layouts/application/interest_rate/in_rate.aspx
ทองคำ
สำหรับทองคำ ทุกคนคงทราบกันดีแล้วว่าทองคำนั้นเป็นสินทรัพย์ที่แสดงความมั่งคั่งร่ำรวยมาอย่างยาวนาน ด้วยคุณสมบัติของทองคำที่มีความคงทน ทำให้ทองคำถูกนำไปแปรรูปเป็นเครื่องประดับหลากหลายประเภท รวมถึงถูกนำไปใช้เป็นเครื่องสะสมมูลค่าอีกด้วย

- ตัวอย่าง
การลงทุนในทองคำสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การลงทุนทางตรงโดย
- การซื้อขายกับร้านทอง
เป็นการจ่ายเงินและรับทองที่จับต้องได้มาเก็บไว้ รอเวลาขายเมื่อราคาทองขึ้นสูงจนได้กำไรตามที่ต้องการ สามารถเลือกซื้อได้ทั้งแบบทองรูปพรรณ หรือทองคำแท่ง
- การลงทุนทองคำผ่านกองทุนรวม
การลงทุนผ่านกองทุนรวม ทำให้ผู้ลงทุนไม่ต้องเก็บรักษาทองเอง อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญ หรือก็คือผู้จัดการกองทุนที่จะคอยวางแผนบริหารการลงทุนให้จึงเหมาะสำหรับมือใหม่ หรือผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลาในการติดตามราคาทอง นอกจากนี้ยังสามารถลงทุนในกองทุนรวมประเภท RMF หรือ SSF เพื่อใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
- การลงทุนผ่านสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures)
เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีมุมมองว่าราคาทองในอนาคตจะสูงขึ้นหรือต่ำลง ซึ่งหากมีมุมมองต่อราคาทองถูกต้องก็จะสามารถทำกำไรได้ โดยได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่นที่กล่าวมา (แค่มีเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 บาทก็สามารถออมทองคำได้แล้ว)
ส่วนเรื่องสภาพคล่องของทองคำนั้นก็มีค่อนข้างสูง เพราะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ค่อนข้างง่าย ในขณะเดียวกัน ทองคำนั้นก็มีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่นต่ำมาก รวมถึงมีค่าความผันผวนต่ำกว่าสินทรัพย์เสี่ยงชนิดอื่น จึงนิยมนำมากระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน
สินทรัพย์ | ผลตอบแทน | % ผลตอบแทน | ความเสี่ยง |
ทองคำ | ส่วนต่างราคา | 5.20% – 8.77% | สูงมาก |
หลายคนคงได้เห็นประโยชน์ และวิธีการลงทุนในทองคำรูปแบบต่างๆ น่าจะได้ไอเดียเพื่อไปวิเคราะห์ความพร้อมทั้งในด้านความรู้ความเข้าใจ และเงินลงทุนเริ่มต้นของตัวเอง ว่าจะเหมาะกับการลงทุนทองรูปแบบไหนกันบ้างแล้ว เราไปดูข้อต่อไปกันเลย
หุ้น
ในปัจจุบันการลงทุนในหุ้นเป็นที่นิยมอย่างมาก และเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น หากเราเลือกหุ้นได้ถูกตัว ก็จะสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างมากมาย แต่ทั้งนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นก็ไม่ค่อยแน่นอน ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น ๆ หากเราลงทุนในหุ้นผิดตัว ก็สามารถขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้นการจะลงทุนในหุ้นนั้นจึงควรศึกษาข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
- ตัวอย่าง

ที่มา: https://www.setinvestnow.com/th/stock/investment-strategies
แต่ส่วนมากนักลงทุนมือใหม่หลายคนเลือกที่จะกระจายความเสี่ยงไปเป็นการซื้อ “กองทุนรวมหุ้น” แทน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยใกล้เคียงกับ SET Index ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 8-10% ต่อปีหากลงทุนเป็นระยะยาวอย่าง 10 ปีขึ้นไป
ตัวอย่างกองทุนรวมหุ้นเติบโต เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนใน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของโลก และเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มที่รายได้เติบโตได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและตลาดกลับมาเป็นขาขึ้น
สินทรัพย์ | ผลตอบแทน | % ผลตอบแทน | ความเสี่ยง |
หุ้น | เงินปันผล | 8.00-12.00% | สูงมาก |
คริปโตเคอร์เรนซี
คือโอกาสในการได้รับผลตอบแทนในการลงทุนในระดับสูงเพราะเชื่อว่าคริปโตเคอร์เรนซี เป็นสกุลเงินแห่งอนาคตที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชนซึ่งเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตเช่นกัน
เหมาะสำหรับ คนที่อยากกระจายการลงทุน เพราะสินทรัพย์ทางเลือกควรมีไว้ในพอร์ตการลงทุนอย่างน้อย 10-25% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด และเข้าใจ สินทรัพย์เหล่านั้นได้ดี ทั้งภาวะปัจจัยที่ทำให้ราคาขึ้น-ลง รวมไปถึงผลตอบแทนและความเสี่ยงของการลงทุน เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ตัวอย่าง สินทรัพย์ดิจิทัล บางปีอาจให้ผลตอบแทนสูงมากถึง 20%-100% แต่ถ้าตลาดปรับฐาน ก็อาจจะลงมาถึง 60%-80% ได้เช่นกัน
สินทรัพย์ | ผลตอบแทน | % ผลตอบแทน | ความเสี่ยง |
สกุลเงินดิจิทัล | ส่วนต่างราคา | 20%-100% | สูงมาก |
กองทุนรวม
กองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า เพราะเราสามารถลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ไม่ใช่เฉพาะหุ้นอย่างเดียว โดยมีตั้งแต่ เงินฝาก ตราสารหนี้ในประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ หุ้นในประเทศ และหุ้นนอกประเทศ ฯลฯ อีกทั้งยังได้ในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงอีกด้วย
- ตัวอย่าง
“กองทุนรวมหุ้น” จากการที่เราจะซื้อหุ้นเป็นตัว ๆ การซื้อกองทุนรวมหุ้น ก็จะทำให้เงินของเราสามารถกระจายไปในหุ้นหลายตัวได้ โดยใช้เงินเท่าเดิม อีกทั้งการลงทุนในกองทุนรวมนั้น ยังมี Fund Manager คอยเลือกสินทรัพย์ให้เราอีกด้วย ซึ่งจะแตกต่างกับการลงทุนในหุ้นที่เราต้องศึกษา และเลือกหุ้นลงทุนด้วยตัวเอง
สินทรัพย์ | ผลตอบแทน | % ผลตอบแทน | ความเสี่ยง |
กองทุนรวม ตลาดเงิน | ส่วนต่างราคา เงินปันผล | 0.5%-1% | ต่ำมาก |
กองทุนรวม ตราสารหนี้ | ส่วนต่างราคาเงินปันผล | 1.5%-2.5% | ต่ำ-ปานกลาง |
กองทุนรวม ตราสารทุน ไทย | ส่วนต่างราคาเงินปันผล | 6.00-10.00% | สูง |
กองทุนรวม ตราสารทุน ต่างประเทศ | ส่วนต่างราคาเงินปันผล | 6.00-10.00% | สูง |
กองทุนรวม ทองคำ และสินทรัพย์อื่นๆ | ส่วนต่างราคาเงินปันผล | 5.00%-8.00% | สูงมาก |
กองทุนรวมหุ้น | ส่วนต่างราคาขึ้นอยู่กับประเภทสินทรัพย์ | 8-10% ต่อปีหากลงทุนเป็นระยะยาว 10 ปีขึ้นไป | สูงมาก |
กองทุนมีเยอะมาก ทั้งแบบได้ปันผลและไม่ได้ปันผล ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง เราสามารถซื้อได้ทุกธนาคารและโปรกเกอร์ต่างๆด้วย เมื่อก่อนอาจจะต้องไปซื้อที่ธนาคาร แต่เดี๋ยวนี้เกือบทุก App การเงินของธนาคารสามารถซื้อกองทุนรวมได้แล้ว สะดวกมากเลย
ลองคิดตามดูนะ ถ้าเราลงทุน 5,000 บาท หลายคนอาจกลัวว่าจะลงทุนได้ไหม 5,000 บาท ไม่ต้องกลัวเลย ลงทุนได้แน่นอน นอกจากจะได้ปันผลแล้ว ยังได้ลุ้นส่วนต่างราคาอีกด้วย ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับคนไม่มีเวลาลงทุน

ที่มา: https://novelinvestor.com/asset-class-returns/
Forex
เหมาะสำหรับ คนที่รับความเสี่ยงได้สูง และอยากให้เงินลงทุนเติบโตเร็วที่สุด และรับความผันผวนได้ มีความเข้าใจการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานและทางเทคนิคได้ดี มีแผนการลงทุน จุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุนชัดเจน
สามารถลงทุนในตลาด Forex หรือตลาด CFD ได้ทั้งหุ้น ดัชนีต่างๆ ของหุ้นประเทศที่นิยม เช่น หุ้นอเมริกา รวมไปถึงสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน และสกุลคู่เงินต่างๆ รวมไปถึงสินทรัพย์ดิจิทัล สกุลคู่เงินต่างๆ ซึ่งตลาดนี้ถือว่าเป็นตลาดที่มีการซื้อขายสูงสุดของโลก
- ตัวอย่าง
เช่นวางเงิน 100 สามารถเทรดได้ 1,000 เป็นการเลเวอเรจของเงิน ถ้าถูกทางก็มีโอกาสได้กำไรมาก ถ้าผิดทางก็มีโอกาสขาดทุนหมด หรือพอร์ตแตก และอีกอย่างหนึ่งคือใช้เงินลงทุนต่ำมาก ประมาณ 1,000 บาทก็เริ่มต้นลงทุนได้แล้ว
ตราสารอนุพันธ์
สินทรัพย์ทางการเงินที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับ “สินค้าอ้างอิง” ลักษณะของตราสารอนุพันธ์จะเป็น “สัญญา” ที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงทำสัญญาตกลงกัน ณ วันซื้อขาย แล้วส่งมอบและชำระราคากันในอนาคต
สินค้าอ้างอิง (Underlying Asset) สามารถแบ่งตามลักษณะสินค้าได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
- Hard Commodities – สินค้าประเภทวัตถุดิบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ไม่สามารถผลิตโดยการเพาะปลูกได้ โดยต้องทำการสกัดหรือขุดขึ้นมา เช่น ทองคำ เงิน ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ ถ่านหิน ฯลฯ
- Soft Commodities – สินค้าทางการเกษตรหรือปศุสัตว์ ที่มนุษย์สามารถผลิตได้โดยการเพาะปลูก เช่น เมล็ดกาแฟ ข้าวสาลี เนื้อสัตว์ น้ำตาล ฯลฯ
- ตัวอย่าง
โดยเราสามารถวางเงินประกัน (Margin) เพียง 10-15% ของมูลค่าสัญญาก็สามารถทำการซื้อขายได้แล้ว ใช้เงินลงทุนน้อย ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินเต็มจำนวน นอกจากนี้ ตราสารอนุพันธ์ยังสามารถทำกำไรได้ทั้งในภาวะตลาดขาขึ้นและขาลงอีกด้วย
สินทรัพย์ | ผลตอบแทน | % ผลตอบแทน | ความเสี่ยง |
อนุพันธ์ | เงินปันผล | 10.00% – 15.00% | สูง |
สรุป
เมื่อพูดถึงการลงทุนหลายคนมักจะโฟกัสไปที่จำนวนเงินเป็นหลัก บางครั้งการลงทุนก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะเสมอไป ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจส่วนบุคคลและความเหมาะสมมากกว่า และทั้งหมดที่กล่าวมาก็คือแนวทางการลงทุนง่าย ๆ สำหรับผู้อ่านที่มีทุนไม่มาก
เราจะเห็นได้ว่าจริง ๆ แล้วการมีเงินทุนเพียงแค่ 5,000 บาท สามารถลงทุนอะไรได้มากมายเลย โดยขึ้นอยู่กับความสามารถ ความต้องการ และความรู้ของเรานั่นเองค่ะ ในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องมีทุนมหาศาลก็สามารถก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จได้ และอย่างสุดท้ายที่จะฝากถึงคือ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะกองทุน นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และผลการดำเนินงานกองทุนก่อนตัดสินใจลงทุนนะคะ
**คำเตือน การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
เนื้อหาในบทความเป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความ เนื้อหาของบทความนี้ใช้สำหรับประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุนเท่านั้น ผู้อ่านควรศึกษาปัจจัยประกอบจากแหล่งข้อมูลหลายแห่งก่อนการตัดสินใจ และใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลในการพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ลงทุนที่เหมาะสมแก่ท่าน
ใส่ความเห็น